Boonaree
ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด
ไม้บูนารี (Dalbergia cochinchinensis) จัดอยู่ในวงศ์ Fabaceae หรือวงศ์ถั่ว พืชชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ไม้บูนารีเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นปานกลางและดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่จะพบได้ในป่าเบญจพรรณ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของไม้ชนิดนี้ ในประเทศไทยเอง พื้นที่ที่พบไม้บูนารีมากที่สุด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียง
ขนาดและลักษณะของต้นบูนารี
ต้นบูนารีเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 15-25 เมตร เมื่อโตเต็มที่ เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 50-80 เซนติเมตร โดยลำต้นจะเป็นทรงกลม ผิวเปลือกมีสีเทาอมแดงหรือเทาอมดำ มีลักษณะเป็นร่องเล็ก ๆ หรือลายทางในแนวดิ่ง เนื้อไม้บูนารีมีสีน้ำตาลเข้มปนแดง หรือสีดำอมม่วง มีลวดลายที่สวยงาม เมื่อตัดและขัดมันจะเกิดลายพิเศษที่มีความงดงาม โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า “ตาไม้” ที่มีลักษณะเป็นวง ๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมงานไม้ ใบของบูนารีมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก รูปทรงรี มีสีเขียวเข้ม ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ในขณะที่ใบแก่มีสีเขียวเข้มกว่านี้ ดอกของบูนารีมีสีขาวหรือสีครีม มักจะออกเป็นช่อเล็ก ๆ ในช่วงฤดูร้อนและต้นฤดูฝน ส่วนเมล็ดของบูนารีมีลักษณะเป็นฝักยาว ภายในมีเมล็ดรูปไข่ ซึ่งเมื่อแก่แล้วจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม
ประวัติศาสตร์ของไม้บูนารี
ไม้บูนารีมีประวัติศาสตร์การใช้งานยาวนานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งมีการใช้ไม้บูนารีในการสร้างบ้าน เรือน เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และศิลปะหัตถกรรมอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยโบราณ ลวดลายและความสวยงามของเนื้อไม้ทำให้ไม้บูนารีเป็นที่นิยมในการแกะสลักเป็นงานศิลปะและเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา ในช่วงศตวรรษที่ 20 ความต้องการไม้บูนารีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการทำลายป่าไม้บูนารีอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ปริมาณต้นไม้บูนารีในธรรมชาติลดลงอย่างรวดเร็ว ปัจจุบัน ด้วยความที่มีปริมาณจำกัดและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ไม้บูนารีถูกจัดอยู่ในกลุ่มของพันธุ์ไม้ที่ต้องได้รับการคุ้มครองและอนุรักษ์ในหลายประเทศ รวมถึงอยู่ภายใต้กฎหมายการค้าระหว่างประเทศที่ควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITES)
สถานะการอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES)
ไม้บูนารีถูกจัดให้อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITES) ภายใต้บัญชีที่ 2 ซึ่งระบุว่าไม้ชนิดนี้สามารถทำการค้าได้แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการคุกคามต่อการอยู่รอดของพืชชนิดนี้ในธรรมชาติ การควบคุมที่เข้มงวดเป็นการตอบสนองต่อการขยายตัวของการลักลอบค้าไม้บูนารีที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการอนุรักษ์ ปัจจุบันมีความพยายามในการอนุรักษ์ไม้บูนารีอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ประเทศไทยได้มีการกำหนดให้ไม้บูนารีเป็นพันธุ์ไม้ที่คุ้มครองตามกฎหมาย และห้ามการตัดหรือเคลื่อนย้ายไม้บูนารีโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังมีโครงการปลูกป่าและขยายพันธุ์ไม้บูนารีเพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ในธรรมชาติอีกด้วย
การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
การอนุรักษ์ไม้บูนารีเป็นเรื่องที่มีความท้าทาย เพราะนอกจากจะมีความต้องการในตลาดสูงแล้ว ยังมีการลักลอบค้าไม้บูนารีอย่างผิดกฎหมายในบางพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ การอนุรักษ์ไม้บูนารีจึงต้องใช้แนวทางที่มีความเข้มงวดและยั่งยืน นอกจากการออกกฎหมายควบคุมแล้ว การรณรงค์สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของไม้บูนารีในกลุ่มประชาชนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความร่วมมือจากชุมชนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการดูแลป่าไม้และการควบคุมการลักลอบตัดไม้ นอกจากนี้ การส่งเสริมให้มีการปลูกไม้บูนารีในพื้นที่ที่เหมาะสมและมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตไม้บูนารีในระบบปลูกพืชเชิงเกษตรเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้ได้อย่างยั่งยืน
สรุป
ไม้บูนารี (Dalbergia cochinchinensis) เป็นพันธุ์ไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสูง ซึ่งในปัจจุบันไม้ชนิดนี้กำลังประสบปัญหาการลดจำนวนลงในธรรมชาติเนื่องจากการลักลอบตัดไม้ การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศและสร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมการปลูกป่า การออกกฎหมายควบคุม และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของไม้บูนารีเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ไม้บูนารีคงอยู่ในธรรมชาติได้อย่างยาวนาน นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และดูแลป่าไม้ ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว