Black ash
ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ Black Ash
ไม้ Black Ash หรือที่เรียกกันในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Fraxinus nigra เป็นไม้ที่พบมากในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในเขตแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แถบที่ไม้ชนิดนี้เติบโตมากที่สุดคือทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐและแคนาดาตะวันออกเฉียงใต้ แต่ละพื้นที่ที่ต้นไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตมีภูมิอากาศที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ต้น Black Ash สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น บริเวณใกล้ลำธาร หรือพื้นที่ที่ดินมีน้ำขัง ไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำมากและดินอุดมสมบูรณ์
ลักษณะของต้นไม้ Black Ash
ต้นไม้ Black Ash มักมีขนาดใหญ่ที่เติบโตได้สูงถึง 15-20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ 50-60 เซนติเมตร โดยลักษณะของใบจะเป็นใบรวม (compound leaf) ซึ่งหมายความว่าใบของมันจะประกอบไปด้วยใบย่อยหลายใบอยู่บนก้านใบเดียวกัน ลำต้นของไม้ Black Ash จะมีสีเทาเข้มและมีเนื้อไม้ที่หยาบ ส่วนใบมีสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม และจะเริ่มร่วงหล่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
เนื้อไม้ Black Ash มีความเหนียวและยืดหยุ่นทำให้เป็นที่นิยมในงานหัตถกรรม เช่น งานจักสาน เนื่องจากไม้ชนิดนี้สามารถดัดงอได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำ
ชื่ออื่นของไม้ Black Ash
นอกจากชื่อ “Black Ash” แล้ว ไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น “Swamp Ash” เนื่องจากมีการเจริญเติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำ และ “Basket Ash” เพราะเนื้อไม้ที่ยืดหยุ่นทำให้นำไปใช้ในงานจักสานได้ง่าย
ประวัติศาสตร์ของไม้ Black Ash
ไม้ Black Ash ถูกนำมาใช้ในวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชนพื้นเมืองใช้เนื้อไม้ Black Ash ในการทำตะกร้าจักสาน ถาด และภาชนะสำหรับเก็บของ โดยการนำไม้ไปแช่น้ำเพื่อให้เส้นใยแยกออกและดัดงอได้ง่าย นอกจากนี้ไม้ Black Ash ยังถูกนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ดนตรีอีกด้วย เช่น ทำโครงกีตาร์และกลอง
สถานะการอนุรักษ์และการคุ้มครองในปัจจุบัน
ไม้ Black Ash ได้รับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของแมลงที่ชื่อว่า Emerald Ash Borer (EAB) ซึ่งเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่ทำลายต้น Ash อย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในแถบอเมริกาเหนือ แมลง EAB จะวางไข่ลงบนเปลือกของต้นไม้ และตัวหนอนจะกินลำต้นทำให้ไม้ตาย ในปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการอนุรักษ์และการทดลองปลูกต้นไม้ชนิดนี้ในสถานที่อื่นเพื่อรักษาพันธุ์ไว้
ไซเตสและสถานะทางกฎหมาย
ไม้ Black Ash จัดอยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศในสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เพื่อควบคุมการค้าขายระหว่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย การอนุรักษ์ไม้ Black Ash เป็นสิ่งที่ต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรระหว่างประเทศ
สรุป
ไม้ Black Ash หรือที่เรียกในชื่ออื่น ๆ ว่า Swamp Ash หรือ Basket Ash เป็นไม้ที่มีคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเหนือ ปัจจุบันต้นไม้ชนิดนี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของแมลง EAB และการตัดไม้เพื่อการค้า จำเป็นต้องมีการควบคุมและอนุรักษ์เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ในอนาคต