African Walnut

ไม้ African Walnut: ไม้หรูหราแห่งแอฟริกา ลวดลายสวย น้ำหนักดี แข็งแรง
ไม้ African Walnut (ชื่อวิทยาศาสตร์: Lovoa trichilioides) เป็นหนึ่งในไม้ที่ได้รับความนิยมสูงในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่งบ้าน และการออกแบบหรูหรา ด้วยความโดดเด่นเรื่อง ลวดลายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์, น้ำหนักกำลังดี, และ คุณสมบัติความแข็งแรงทนทาน ไม้ชนิดนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของช่างไม้, ดีไซเนอร์ และเจ้าของบ้านที่ต้องการไม้หรูสำหรับงานตกแต่งระดับพรีเมียม
จุดเด่นของไม้ African Walnut
- ลวดลายไม้ที่โดดเด่น
- ไม้ African Walnut มีลวดลายเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้งเล็กน้อย เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ โดยลายไม้มักมีความ พลิ้วไหว และ ต่อเนื่องสวยงาม สีของเนื้อไม้ตั้งแต่น้ำตาลกลางจนถึงน้ำตาลเข้ม บางท่อนอาจมีเฉดเหลืองทองสวยงาม ผสมผสานลวดลายได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำ เฟอร์นิเจอร์โชว์ลายไม้จริง หรือ งานตกแต่งภายในหรูหรา
- น้ำหนักกำลังดี
- ไม้ African Walnut มีน้ำหนักเฉลี่ยที่กำลังเหมาะสม — ไม่หนักเกินไปเหมือนไม้บางชนิด เช่น ไม้มะค่า หรือ ไม้สักแห้งพิเศษ และไม่เบาเกินไปเหมือนไม้เนื้ออ่อน น้ำหนักที่เหมาะสมช่วยให้สามารถ ติดตั้งง่าย, ขนย้ายสะดวก, และ มีความมั่นคงแข็งแรง สำหรับการใช้งานระยะยาว
- ความแข็งแรงและทนทาน
- ด้วยโครงสร้างไม้เนื้อแน่น African Walnut มีความแข็งแรงมากพอสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ที่รับน้ำหนักได้ดี เช่น โต๊ะทานข้าว, โต๊ะกลาง, เคาน์เตอร์บาร์, ประตูไม้, พื้นไม้ และงานบิวต์อินภายในบ้าน
- งานแปรรูปง่าย
- African Walnut สามารถ ไสเรียบ, ขัดเงา, ติดกาว, และ ทำสีได้ดีเยี่ยม ช่างไม้สามารถสร้างชิ้นงานที่มีรายละเอียดสูง หรือทำพื้นผิวไม้ให้เงางามอย่างเป็นธรรมชาติได้ไม่ยาก



สรุปข้อมูลไม้ African Walnut
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
ชื่อสามัญ | African Walnut |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Lovoa trichilioides |
ถิ่นกำเนิด | แอฟริกากลาง, แอฟริกาตะวันตก |
สีเนื้อไม้ | น้ำตาลกลาง – น้ำตาลเข้ม, เฉดเหลืองทองบางส่วน |
ลวดลายไม้ | เส้นตรงหรือโค้งเล็กน้อย เป็นธรรมชาติ สวยงาม |
น้ำหนักแห้งเฉลี่ย | 640-700 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร |
การใช้งาน | เฟอร์นิเจอร์, พื้นไม้, บิวต์อิน, ของตกแต่งบ้าน |
จุดเด่น | สวยงาม แข็งแรง ทนทาน แปรรูปง่าย อายุการใช้งานนาน |
การใช้งานของไม้ African Walnut
ไม้ African Walnut มีการใช้งานหลากหลายเนื่องจากคุณสมบัติที่ครบถ้วนทั้งด้านความงาม ความแข็งแรง และการแปรรูปง่าย ใช้งานได้ทั้งภายในและบางกรณีสามารถใช้งานกลางแจ้งได้ด้วย (แต่ควรเคลือบกันชื้น)
- ตัวอย่างการใช้งานยอดนิยม:
- โต๊ะทานข้าวไม้แผ่นเดียว (Solid Wood Dining Table)
- โต๊ะกลาง (Coffee Table)
- โต๊ะทำงานหรูหรา (Executive Desk)
- บิวต์อินตกแต่งผนัง (Wall Paneling)
- ประตูไม้จริง (Solid Wood Door)
- พื้นไม้จริง (Solid Wood Flooring)
- ของตกแต่งหรู เช่น กรอบรูป, กล่องไม้, เครื่องดนตรี
- งานออกแบบตกแต่งภายในโรงแรมหรู และรีสอร์ตระดับ 5 ดาว
วิธีการเก็บรักษาไม้ African Walnut เพื่อยืดอายุการใช้งาน
ไม้ African Walnut แม้จะมีความทนทานสูงตามธรรมชาติ แต่การดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งาน และคงความสวยงามของลายไม้ไปได้อีกหลายสิบปี ดังนั้น หากคุณมีเฟอร์นิเจอร์, พื้นไม้, หรือของตกแต่งที่ทำจาก African Walnut ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- เก็บในที่อากาศถ่ายเท
- หลีกเลี่ยงการวางเฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ อับชื้น หรือมีความชื้นสะสม เช่น ใต้บันได, ห้องน้ำ, หรือใกล้บริเวณลานซักล้าง
- หากเก็บไม้แผ่นก่อนใช้งาน ควรวางบน พาเลทไม้ หรือ ยกพื้น เพื่อให้ลมผ่านได้ทุกด้าน ป้องกันการเกิดเชื้อราและการโก่งตัวของเนื้อไม้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง
- ไม้ African Walnut แม้จะทนต่อความชื้นได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรสัมผัสกับน้ำขังโดยตรงนาน ๆ
- ควรใช้ แผ่นรอง เช่น พรมบาง ๆ หรือแผ่นรองเฟอร์นิเจอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ขาโต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์โดนน้ำจากพื้น
- เคลือบผิวไม้ด้วยน้ำยาอย่างสม่ำเสมอ
- ควรใช้น้ำยาเคลือบไม้ เช่น Wood Wax, Oil Finish หรือ Polyurethane เพื่อปกป้องเนื้อไม้จากความชื้น, รอยขีดข่วน และแสง UV
- แนะนำให้ ทาน้ำมันไม้ทุก 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ติดตั้ง
- ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี
- ใช้ ผ้าแห้ง หรือ ผ้าชุบน้ำบิดหมาด เช็ดทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของ แอมโมเนีย หรือ แอลกอฮอล์แรง ๆ ซึ่งอาจทำลายสารเคลือบและพื้นผิวไม้ได้
- หากมีคราบเหนียว ให้ใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดแล้วเช็ดตามด้วยผ้าแห้งทันที
- ป้องกันการโดนแสงแดดตรง ๆ
- แสง UV จากดวงอาทิตย์สามารถทำให้สีไม้ซีดจางได้เมื่อเวลาผ่านไป
- ควรจัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือแผ่นไม้ให้หลีกเลี่ยง แสงแดดโดยตรง หรือใช้ ม่านโปร่งแสง ช่วยกรองแสง
- 8.6 ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในห้อง
- ไม้ธรรมชาติทุกชนิด รวมถึง African Walnut มีการ ขยายตัวและหดตัวตามอุณหภูมิและความชื้น
- ควรรักษาความชื้นสัมพัทธ์ในห้องให้อยู่ระหว่าง 40–60%
- หากอยู่ในพื้นที่อากาศแห้งมากหรือหนาวมาก ควรใช้ เครื่องเพิ่มความชื้น (Humidifier) เพื่อรักษาสมดุลให้ไม้คงสภาพเดิม