South America - อะ-ลัง-การ 7891

South America

Brazilwood

ไม้บราซิลวูด (Brazilwood): ชื่อ ที่มา และประวัติศาสตร์

ไม้บราซิลวูด (Brazilwood) เป็นไม้ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของประเทศบราซิล ไม้นี้ได้รับความนิยมในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เนื่องจากสีที่สวยงามและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานในด้านต่าง ๆ เช่น การทำเครื่องดนตรี การผลิตสี และการใช้งานทางการแพทย์ ในบทความนี้เราจะไปทำความรู้จักกับไม้บราซิลวูดในด้านต่าง ๆ เช่น ชื่อที่ใช้เรียกไม้ชนิดนี้, ที่มา, ขนาดของต้น, ประวัติศาสตร์ และสถานะการอนุรักษ์ของมัน รวมถึงการอนุรักษ์ไม้บราซิลวูดในปัจจุบัน

ชื่ออื่น ๆ ของไม้บราซิลวูด (Brazilwood)

ไม้บราซิลวูด (Brazilwood) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Paubrasilia echinata หรือบางครั้งเรียกว่า Caesalpinia echinata ซึ่งอยู่ในวงศ์ Fabaceae และเป็นไม้ที่มีชื่อเสียงในแง่ของการผลิตสารสีแดงจากเนื้อไม้ชื่อว่า "Brazilin" ซึ่งทำให้มันได้รับความนิยมในการผลิตสีแดงสำหรับการย้อมผ้าและเครื่องหนัง

ในบางประเทศ ไม้นี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น:

  • Brazilwood (ในภาษาอังกฤษ)
  • Pau-Brasil (ในภาษาโปรตุเกส)
  • Cabraíba (ในบางพื้นที่ของบราซิล)
  • Pau-de-peroba (ในบางพื้นที่ของบราซิล)
  • Redwood (บางครั้งใช้เรียกไม้ชนิดนี้เนื่องจากสีแดงที่ได้จากเนื้อไม้)

ที่มาและแหล่งกำเนิดของไม้บราซิลวูด

ไม้บราซิลวูดมีแหล่งกำเนิดจากประเทศบราซิล ซึ่งได้รับชื่อมาเช่นนั้นจากการที่ไม้ชนิดนี้มีการใช้งานในประเทศบราซิลตั้งแต่สมัยก่อนยุคอาณานิคม โดยมันถูกใช้ในการผลิตสีและการทำเครื่องดนตรี บางครั้งไม้ชนิดนี้ก็ถูกนำไปใช้ในการทำวัตถุที่มีค่าหรือเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แท่งสีที่มีค่าในอุตสาหกรรมศิลปะในยุโรป

บราซิลวูดเป็นไม้ที่เติบโตในป่าเขตร้อนและป่าฝนของบราซิล โดยส่วนใหญ่จะพบได้ในพื้นที่ทางตะวันออกของบราซิล ซึ่งเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีปัญหาในการอนุรักษ์ป่าไม้

ขนาดและลักษณะของต้นไม้บราซิลวูด

ต้นไม้บราซิลวูดมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยมีความสูงของต้นที่สามารถสูงได้ถึง 15 เมตร หรือมากกว่านั้นในบางกรณี เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นมักจะอยู่ที่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอายุของต้นไม้ เนื้อไม้ของบราซิลวูดมีลักษณะเป็นสีแดงเข้มถึงสีส้ม ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ไม้ชนิดนี้มีค่าในเชิงการใช้งานต่าง ๆ เนื้อไม้มีความหนาแน่นและทนทาน ซึ่งทำให้มันถูกใช้ในการทำเครื่องดนตรีที่ต้องการเสียงที่ดีและมีคุณภาพสูง

ประวัติศาสตร์ของไม้บราซิลวูด

ไม้บราซิลวูดมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและสำคัญตั้งแต่สมัยยุคอาณานิคม เมื่อทหารโปรตุเกสเข้ามาปลุกปั่นอุตสาหกรรมไม้ในบราซิลในศตวรรษที่ 16 โดยมีการใช้ไม้บราซิลวูดในการผลิตสีแดงสำหรับการย้อมผ้าและการผลิตสีสำหรับงานศิลปะในยุโรป เมื่อไม้บราซิลวูดเริ่มเป็นที่ต้องการในยุโรปมากขึ้น อุตสาหกรรมการตัดไม้เพื่อส่งออกจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้การตัดไม้บราซิลวูดเกินขนาดและมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในลักษณะที่ไม่ยั่งยืน จึงเกิดการทำลายป่าไม้ในบราซิล เมื่อเวลาผ่านไป ไม้บราซิลวูดเริ่มได้รับความนิยมในวงการดนตรี โดยเฉพาะในเครื่องดนตรีที่ต้องการเสียงคุณภาพสูง เช่น ไม้ที่ใช้ทำคันธนูของเครื่องสาย (Violin) และการผลิตเครื่องดนตรีในตระกูลเครื่องดนตรีสาย

การอนุรักษ์และสถานะของไม้บราซิลวูดในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน สถานะของไม้บราซิลวูดได้รับการยอมรับว่าเป็นไม้ที่มีสถานะเป็นไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) ตามบัญชีรายชื่อขององค์กร CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ซึ่งทำให้การค้าขายไม้บราซิลวูดต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวด ตามกฎหมายของ CITES การค้าขายไม้บราซิลวูดในบางกรณีจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตพิเศษ ซึ่งเป็นการช่วยในการอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้จากการสูญพันธุ์ การป้องกันการตัดไม้ไม่ให้เกินขนาดและการส่งเสริมการปลูกไม้บราซิลวูดใหม่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการอนุรักษ์ บราซิลเองก็ได้มีการริเริ่มโครงการปลูกไม้บราซิลวูดเพื่อทดแทนการตัดไม้ในป่าและช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันการปลูกไม้บราซิลวูดใหม่ในพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีความยั่งยืน

Brazilian Rosewood

ที่มาของ Brazilian Rosewood

Brazilian Rosewood หรือในภาษาไทยเรียกว่า "ไม้โรสวูดบราซิล" เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการไม้และการทำเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษในด้านความทนทานและลวดลายที่สวยงาม เนื้อไม้ของ Brazilian Rosewood จะมีลักษณะสีและลายที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่สีแดงอมชมพู ไปจนถึงสีน้ำตาลแดง และมีการจัดเรียงลายไม้ที่สวยงาม ไม้ Brazilian Rosewood มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia nigra ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Fabaceae หรือที่รู้จักกันในชื่อทั่วไปว่า "ตระกูลถั่ว" ไม้ชนิดนี้มีชื่อเสียงในวงการเฟอร์นิเจอร์เครื่องประดับและเครื่องดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์คลาสสิกที่ใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำบอดี้หรือท็อปของกีตาร์ ต้นไม้ Brazilian Rosewood สามารถพบได้ในเขตร้อนของประเทศบราซิล โดยเฉพาะในภูมิภาคของอเมซอนและภูมิภาคที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น เป็นแหล่งกำเนิดของไม้ชนิดนี้ที่สำคัญที่สุด

ชื่ออื่นๆ ของ Brazilian Rosewood

Brazilian Rosewood มีชื่อเรียกต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามท้องถิ่นหรือภาษาต่างๆ เช่น

  • Jacaranda (ชื่อที่ใช้ในบางประเทศในละตินอเมริกา)
  • Rio Rosewood (ชื่อที่ใช้ในบางวงการการค้า)
  • Bahia Rosewood (ชื่อที่มาจากภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล)
  • Cavaco (ชื่อในบางพื้นที่ของบราซิล)

ทั้งนี้ ชื่อเหล่านี้มักจะถูกใช้เพื่อระบุแหล่งที่มาของไม้ Brazilian Rosewood หรือคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของไม้ชนิดนี้

ขนาดของต้น Brazilian Rosewood

ต้นไม้ Brazilian Rosewood เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตได้สูงถึง 25-30 เมตร ในบางกรณีอาจสูงถึง 40 เมตร โดยที่ต้นไม้จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 1 เมตร ซึ่งทำให้มันเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และเหมาะสมสำหรับการตัดและใช้งานในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรี เนื้อไม้ของ Brazilian Rosewood มีความหนาแน่นและทนทานสูง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการดูดซับเสียงที่ดี ทำให้มันเหมาะสมสำหรับการใช้ในกีตาร์คลาสสิกและเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆ ลักษณะของเนื้อไม้จะมีเส้นใยที่เรียบและเนียน แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่สามารถนำไปใช้ทำงานฝีมือที่ต้องการความละเอียดสูง

ประวัติศาสตร์ของ Brazilian Rosewood

Brazilian Rosewood ได้รับการยอมรับในวงการไม้และเฟอร์นิเจอร์มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 และได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีในยุโรปและอเมริกา ในช่วงยุคค.ศ. 1800 ไม้ Brazilian Rosewood ได้รับการส่งออกจากบราซิลไปยังยุโรปและอเมริกาเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะกีตาร์คลาสสิกที่มีความนิยมสูงในยุคสมัยนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตเครื่องดนตรีอย่าง Martin และ Gibson ได้ใช้ Brazilian Rosewood ในการผลิตกีตาร์และเครื่องดนตรีอื่นๆ ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะไม้ที่มีคุณสมบัติพิเศษในด้านเสียง การใช้ Brazilian Rosewood ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในการทำเฟอร์นิเจอร์หรูหราหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสวยงามและทนทาน

การอนุรักษ์ Brazilian Rosewood

อย่างไรก็ตาม การใช้ไม้ Brazilian Rosewood ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรีนั้นมีการบริโภคที่สูงจนทำให้ต้นไม้เหล่านี้เริ่มหายากขึ้นอย่างรวดเร็วในธรรมชาติ ไม้ Brazilian Rosewood ถือเป็นไม้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากการตัดไม้ที่ไม่ยั่งยืนและการทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันนี้ การอนุรักษ์ Brazilian Rosewood ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน หน่วยงานต่างๆ ในระดับนานาชาติ เช่น CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ได้มีการควบคุมการค้าของไม้ Brazilian Rosewood เพื่อป้องกันการใช้ไม้ชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่มีการอนุญาต

สถานะของ Brazilian Rosewood ในไซเตส

ในปี 1992 Brazilian Rosewood ได้รับการบันทึกใน Appendix I ของ CITES ซึ่งหมายความว่า ไม้ Brazilian Rosewood เป็นไม้ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศและห้ามการค้าขายที่ไม่ได้รับอนุญาต การจัดอยู่ใน Appendix I หมายความว่า การค้าไม้ชนิดนี้ต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจเท่านั้น ทั้งนี้มีการควบคุมการส่งออกและการนำเข้าอย่างเข้มงวด มาตรการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องไม้ Brazilian Rosewood จากการสูญพันธุ์ และเพื่อให้การใช้ไม้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นไปตามหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

การใช้ไม้ Brazilian Rosewood ในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการใช้ไม้ Brazilian Rosewood แต่ยังคงมีการใช้ไม้ชนิดนี้ในบางอุตสาหกรรมที่ต้องการวัสดุที่มีคุณภาพสูง เช่น การทำเครื่องดนตรีที่มีมูลค่าสูง เช่น กีตาร์คลาสสิก ซึ่งยังคงมีการใช้ Brazilian Rosewood ในการผลิตบอดี้และท็อปของกีตาร์ แม้จะมีข้อจำกัดในการนำเข้าและการค้าไม้ Brazilian Rosewood ในหลายประเทศ แต่ยังคงมีความต้องการในตลาดเครื่องดนตรีที่มีการผลิตจากไม้ชนิดนี้ รวมทั้งในวงการเฟอร์นิเจอร์หรูหรา

Brazilian Pau rosa

ที่มาของ Brazilian Pau Rosa

Brazilian Pau Rosa หรือที่เรารู้จักกันในชื่อไทยว่า "ไม้ปอโรซ่า" เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในวงการไม้ที่ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เนื่องจากลักษณะเนื้อไม้ที่สวยงามและมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ หนึ่งในชื่อที่เราคุ้นเคยกันดีคือ "ไม้โรสวูด" (Rosewood) ที่สามารถพบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่ "Brazilian Pau Rosa" คือไม้ที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งเกิดขึ้นในเขตป่าฝนเขตร้อนของประเทศบราซิล ต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Aniba rosaeodora ซึ่งเป็นพืชในตระกูล Lauraceae โดยที่ต้นไม้ในตระกูลนี้ยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไม้บางชนิดในสกุล Cinnamomum ที่ใช้ทำเครื่องเทศ เช่น กานพลู และอบเชย

ลักษณะและขนาดของต้น Brazilian Pau Rosa

ต้นไม้ Brazilian Pau Rosa มีขนาดใหญ่และเจริญเติบโตได้สูงถึง 25-30 เมตร ในบางกรณีอาจสูงถึง 40 เมตรในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เนื้อไม้มีความแข็งแรงและมักจะมีสีที่สวยงามหลากหลายตั้งแต่สีชมพูอ่อนจนถึงสีน้ำตาลแดง ที่สำคัญคือเนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้มีค่าในอุตสาหกรรมการทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ ไม้ Brazilian Pau Rosa เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีลวดลายละเอียดและเป็นธรรมชาติทำให้เหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม รวมทั้งการทำเครื่องดนตรี เช่น กีตาร์คลาสสิก เนื่องจากเสียงที่ได้จากไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยสร้างเสียงที่ลึกและอบอุ่น

ชื่ออื่นๆ ของ Brazilian Pau Rosa

Brazilian Pau Rosa มีชื่อที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นหรือในหลายภาษา เช่น:

  • Brazilian Rosewood (ชื่อที่ใช้ในวงการไม้สำหรับทำเฟอร์นิเจอร์)
  • Pau-Rosa (คำในภาษาโปรตุเกสที่หมายถึง "ไม้สีชมพู")
  • Pink Ivory Wood
  • Rosarinho (ชื่อท้องถิ่นในบราซิล)
  • Amazon Rosewood (บางครั้งจะใช้เพื่อเชื่อมโยงกับแหล่งที่มาจากป่าฝนในอเมซอน)

ประวัติศาสตร์ของ Brazilian Pau Rosa

Brazilian Pau Rosa เริ่มถูกนำมาใช้ในช่วงศตวรรษที่ 18 ในบราซิล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการทำเฟอร์นิเจอร์และการผลิตของตกแต่งต่างๆ เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำเครื่องดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์คลาสสิกที่มีการใช้ไม้ Brazilian Pau Rosa ในการทำตัวบอดี้ของกีตาร์ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 บราซิลเริ่มมีการส่งออกไม้ Brazilian Pau Rosa ไปยังตลาดยุโรปและอเมริกาเพื่อตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเฟอร์นิเจอร์หรูหราอย่างไรก็ตาม การใช้ไม้ชนิดนี้เริ่มลดลงในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เนื่องจากปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่ต้นไม้ Brazilian Pau Rosa เจริญเติบโต รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำไม้ชนิดนี้ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ จนทำให้ Brazilian Pau Rosa กลายเป็นไม้ที่ใกล้จะหมดไปจากป่าในธรรมชาติ

การอนุรักษ์ Brazilian Pau Rosa

ในปัจจุบันไม้ Brazilian Pau Rosa ถือเป็นไม้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เนื่องจากการใช้ไม้ในเชิงพาณิชย์ที่ไม่ยั่งยืน ทำให้จำนวนต้นไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และควบคุมการค้าของไม้ได้มีการจัดตั้งมาตรการต่างๆ เพื่อให้การใช้ไม้ Brazilian Pau Rosa เป็นไปอย่างยั่งยืน การคุมเข้มการตัดไม้ Brazilian Pau Rosa รวมถึงการส่งออกไม้ไปยังต่างประเทศได้รับการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora (CITES) ซึ่งทำให้ไม้ Brazilian Pau Rosa ถูกบันทึกอยู่ใน Appendix I ของ CITES ซึ่งหมายความว่า การค้าขายไม้ชนิดนี้ในตลาดโลกจะต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด

สถานะ CITES และผลกระทบต่อการค้า

ในปี 1992 ไม้ Brazilian Pau Rosa ได้รับการจัดอยู่ใน Appendix I ของ CITES ซึ่งหมายความว่า การค้าขายไม้ Brazilian Pau Rosa ทั้งในรูปของไม้แปรรูปหรือในรูปของผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ชนิดนี้ ต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมาย เพื่อป้องกันการลักลอบค้าหรือการทำลายป่าที่ไม่ยั่งยืน สถานะของ Brazilian Pau Rosa ใน CITES ทำให้การค้าขายไม้ชนิดนี้ในหลายประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก และไม่สามารถทำการค้าขายในตลาดมืดได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ตลาดของ Brazilian Pau Rosa หดตัวลง แต่ก็เป็นการบ่งบอกถึงความพยายามที่จะอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้จากการสูญพันธุ์

การใช้ไม้ Brazilian Pau Rosa ในปัจจุบัน

แม้ว่าไม้ Brazilian Pau Rosaจะได้รับการคุ้มครองและการค้าขายจะมีข้อจำกัดอย่างเข้มงวดในหลายประเทศ แต่ว่ายังคงมีการใช้ไม้ชนิดนี้ในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีหรูหราและเครื่องประดับที่มีความพิเศษ ในบางกรณีการใช้ไม้ Brazilian Pau Rosa ในการทำเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียมยังคงเป็นที่ต้องการในตลาด แม้ว่าจะมีราคาที่สูงมากก็ตาม เนื่องจากลักษณะเนื้อไม้ที่มีคุณสมบัติพิเศษและความสวยงามที่หาไม่ได้จากไม้ชนิดอื่น

Bocote

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ Bocote
ไม้ Bocote เป็นไม้ที่มีต้นกำเนิดจากแถบเขตร้อนของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศเม็กซิโก โคลอมเบีย และฮอนดูรัส ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของไม้ Bocote คือ Cordia spp. ซึ่งเป็นไม้ในวงศ์ Boraginaceae ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ที่เรียกไม้ชนิดนี้ในภูมิภาคต่าง ๆ มีหลากหลายเช่น "Pardillo" หรือ "Salvadora" ทำให้เกิดความสับสนในการเรียกชื่อบ้าง แต่มักจะรู้จักกันในชื่อ Bocote เนื่องจากเป็นชื่อที่แพร่หลายในตลาดไม้เพื่อการค้า

ลักษณะของต้น Bocote
ต้น Bocote มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ โดยสามารถเติบโตได้สูงตั้งแต่ 20 ถึง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 50-80 เซนติเมตร ลักษณะไม้มีลายและสีที่โดดเด่น โดยเฉพาะลายไม้ที่มีความเข้มสลับกับสีอ่อน จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในงานศิลปะและงานเฟอร์นิเจอร์ ส่วนของเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลเข้มถึงสีดำ ขึ้นอยู่กับอายุของไม้และสภาพภูมิอากาศ

ประวัติศาสตร์ของไม้ Bocote
ไม้ Bocote เริ่มมีการนำมาใช้ตั้งแต่ยุคโบราณในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง โดยชนพื้นเมืองมักใช้ไม้ Bocote ทำเครื่องมือ และอุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น ธนูและอุปกรณ์สำหรับล่าสัตว์ เพราะเนื้อไม้มีความแข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักที่เหมาะสม ในยุคหลังจากมีการค้าขายระหว่างทวีป ไม้ Bocote ถูกส่งออกไปยังยุโรปและเอเชียเพื่อใช้ในงานสร้างสรรค์และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ชั้นสูง

คุณสมบัติของไม้ Bocote
ไม้ Bocote มีลักษณะเด่นในด้านความแข็งแรง ทนทาน และลายไม้ที่สวยงาม ลายไม้จะมีการสลับสีระหว่างสีอ่อนและสีเข้ม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไม้ชนิดนี้ ไม้ Bocote ยังเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อปลวกและเชื้อรา จึงเหมาะสำหรับใช้ในการตกแต่งภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะ งานช่างไม้และอุปกรณ์ดนตรี ไม้ Bocote จึงเป็นที่ต้องการในตลาดไม้และวงการนักสะสมไม้ระดับสูง

การนำไม้ Bocote มาใช้ในปัจจุบัน
ปัจจุบันไม้ Bocote ได้รับความนิยมมากในวงการงานศิลปะ การทำเครื่องประดับ และการทำอุปกรณ์ดนตรี เช่น กีต้าร์และเครื่องดนตรีสายต่าง ๆ เพราะลายไม้ที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้ในการทำพื้นและตกแต่งบ้านระดับหรู แต่เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้น Bocote ใช้เวลานาน จึงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกทำลายมากขึ้น

สถานะการอนุรักษ์และไซเตส (CITES Status)
ไม้ Bocote ถูกจัดอยู่ในสถานะการอนุรักษ์ เนื่องจากมีการตัดไม้อย่างไม่ถูกต้องและไม่ยั่งยืน ซึ่งนำไปสู่การลดลงของประชากรต้น Bocote ในบางพื้นที่ เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ ไม้ Bocote ถูกควบคุมภายใต้ข้อตกลง CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หรืออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศที่ควบคุมพืชและสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ จึงต้องมีการอนุญาตในการส่งออกและนำเข้าเพื่อลดปัญหาการสูญพันธุ์และควบคุมการค้าอย่างยั่งยืน

การปลูกและการอนุรักษ์ในอนาคต
การปลูกต้น Bocote แบบควบคุมถือเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการทำลายป่าไม้ โดยบางประเทศมีการจัดสรรพื้นที่ปลูกต้น Bocote และการเพาะเลี้ยงในพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการผลิตอย่างยั่งยืน และรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้กับชนรุ่นหลัง การปลูกแบบมีการควบคุมยังสามารถลดแรงกดดันในการทำลายป่าธรรมชาติและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพได้

Blue mahoe

ประวัติศาสตร์และแหล่งกำเนิดของ Blue Mahoe

ไม้ Blue Mahoe มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคแคริบเบียน โดยเฉพาะในประเทศจาเมกา ซึ่งเป็นที่ที่พืชชนิดนี้เติบโตได้ดีและแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ป่าฝนในท้องถิ่น ชื่อของ "Mahoe" นั้นมาจากคำว่า "maho" ในภาษาสเปนซึ่งหมายถึง "พืชชนิดหนึ่งในตระกูล hibiscus" และคำว่า "Blue" นั้นสื่อถึงสีของเนื้อไม้ที่มีลักษณะเป็นสีน้ำเงินปนเขียวจางๆ ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้มีความโดดเด่นและแตกต่างจากไม้ชนิดอื่น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของไม้ Blue Mahoe

ลำต้นและขนาด Blue Mahoe เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สามารถเติบโตได้สูงถึงประมาณ 15-20 เมตร เมื่อต้นมีอายุที่เจริญเติบโตเต็มที่ ลำต้นของ Blue Mahoe จะมีเนื้อไม้ที่แข็งแรงและทนทาน เปลือกของต้นไม้มีสีเทาอ่อนถึงน้ำตาล ซึ่งเปลือกนี้จะช่วยให้ต้นไม้สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี

ใบและดอก ใบของ Blue Mahoe มีลักษณะคล้ายหัวใจ ใบมีขนาดใหญ่และสีเขียวเข้ม ดอกของไม้ชนิดนี้มีสีเหลืองสดใสและอาจมีลักษณะของสีแดงบริเวณฐานดอก ดอกของ Blue Mahoe มักจะบานในช่วงฤดูฝน ซึ่งดึงดูดสัตว์ต่างๆ เช่น ผึ้ง และนกฮัมมิงเบิร์ด ให้มาช่วยในการผสมเกสร

เนื้อไม้ สีของเนื้อไม้เป็นลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้ Blue Mahoe มีความนิยมสูง เนื้อไม้มีสีฟ้าอมเขียว มีลายเส้นที่ชัดเจน ซึ่งทำให้เนื้อไม้มีเอกลักษณ์และสวยงามอย่างน่าประทับใจ ทั้งนี้ยังมีคุณสมบัติในการทนทานต่อความชื้นและแมลง จึงเหมาะกับการใช้ในงานฝีมือและการผลิตเฟอร์นิเจอร์

การใช้ประโยชน์และความนิยม

ไม้ Blue Mahoe เป็นที่รู้จักในแวดวงการช่างไม้และงานศิลปะ เนื่องจากมีสีสันที่สวยงามและลวดลายเฉพาะตัว เนื้อไม้มีความแข็งแรงและทนทานทำให้เป็นที่ต้องการในการสร้างเฟอร์นิเจอร์หรูหรา นอกจากนี้ยังใช้ในงานแกะสลักและการทำผลิตภัณฑ์ไม้ต่างๆ เช่น กล่องไม้ เครื่องดนตรี ไม้ตกแต่ง และเครื่องใช้ในครัวเรือน

อุตสาหกรรมเครื่องดนตรี เนื่องจากเนื้อไม้ Blue Mahoe มีคุณสมบัติที่ให้เสียงที่ก้องไพเราะและมีความทนทานต่อสภาพอากาศ นักดนตรีจึงนำไปใช้ผลิตเครื่องดนตรี เช่น กีตาร์ และไวโอลิน

การอนุรักษ์และสถานะปัจจุบันของไม้ Blue Mahoe ในไซเตส

ในอดีต ไม้ Blue Mahoe ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางจนทำให้จำนวนของต้นไม้ในธรรมชาติลดลง ในปัจจุบันการตัดไม้ Blue Mahoe ต้องมีการขออนุญาตและมีข้อกำหนดในการปลูกทดแทนเพื่อให้แน่ใจว่าทรัพยากรธรรมชาตินี้จะไม่สูญหายไป

Blue Mahoe ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของพืชที่ต้องได้รับการอนุรักษ์ตามข้อกำหนดของอนุสัญญาไซเตส (CITES - Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการค้าขายระหว่างประเทศที่ส่งผลให้ไม้ชนิดนี้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การอนุรักษ์ในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนปลูก Blue Mahoe เพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้และฟื้นฟูประชากรในธรรมชาติ

การอนุรักษ์ Blue Mahoe ในจาเมกา

รัฐบาลจาเมกาและองค์กรอนุรักษ์ต่างๆ ได้ทำงานร่วมกันในการสร้างโครงการปลูกป่าด้วยต้น Blue Mahoe เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและรักษาสมดุลของระบบนิเวศ โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มจำนวนของต้นไม้ แต่ยังช่วยให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติ รวมถึงการสร้างความเข้าใจในคุณค่าของทรัพยากรนี้และการนำไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน

สรุป

Blue Mahoe ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าและมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งในแง่ของการนำไปใช้ประโยชน์และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ การที่ไม้ชนิดนี้ได้รับการอนุรักษ์ตามข้อกำหนดของไซเตสแสดงถึงความสำคัญที่รัฐบาลและชุมชนให้ต่อการรักษาพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมนี้ ในอนาคต เราควรคำนึงถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เพื่อให้แน่ใจว่า Blue Mahoe จะยังคงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าและคงอยู่ให้คนรุ่นต่อไปได้ชื่นชมและใช้ประโยชน์ต่อไป

Blood

ไม้บลัด (Bloodwood) เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่มีความโดดเด่นทั้งในด้านความงดงามและความทนทาน ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในการนำไปใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และงานแกะสลัก ไม้บลัดมีสีแดงลึกคล้ายเลือดซึ่งเป็นที่มาของชื่อ และสามารถพบได้ในพื้นที่ป่าเขตร้อน โดยเฉพาะในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ ซึ่งที่จริงแล้ว "Bloodwood" เป็นชื่อทั่วไปที่ใช้เรียกไม้หลายชนิดที่มีสีแดงหรือสีน้ำตาลแดงซึ่งจะกล่าวถึงในรายละเอียดต่อไป

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้บลัด

ไม้บลัดสามารถพบได้ในหลายภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตป่าฝนของแอฟริกากลาง อเมริกาใต้ และในบางส่วนของเอเชีย ไม้บลัดในแต่ละภูมิภาคมีชื่อเรียกเฉพาะตามชนิดของไม้ ได้แก่:

  • African Bloodwood: ไม้ชนิดนี้พบในป่าเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เช่น กาบอง (Gabon), กานา (Ghana), ไนจีเรีย (Nigeria), และแคเมอรูน (Cameroon) ชื่อวิทยาศาสตร์ของมันคือ Pterocarpus angolensis ซึ่งในบางท้องที่เรียกว่า "Mubanga" หรือ "Kiaat"
  • South American Bloodwood: อีกหนึ่งสายพันธุ์ที่รู้จักกันดีในชื่อ Brosimum rubescens ซึ่งมาจากป่าอเมซอนในบราซิลและประเทศใกล้เคียงในอเมริกาใต้ ไม้ชนิดนี้เรียกอีกชื่อว่า "Satine" หรือ "Brazilian Bloodwood"
  • Australian Bloodwood: ในออสเตรเลียก็มีไม้ชนิดนี้ที่มีชื่อว่า Corymbia opaca ซึ่งพบได้ในพื้นที่ทางเหนือและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย และมักจะมีการเรียกชื่อว่า "Desert Bloodwood" หรือ "Red Bloodwood"

ขนาดและลักษณะของต้นไม้บลัด

ต้นไม้บลัดมีขนาดและลักษณะที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยปกติแล้วต้นไม้บลัดจะมีขนาดสูงถึง 20-35 เมตร ในกรณีของ Pterocarpus angolensis ที่พบในแอฟริกา มักมีลำต้นตรง ลักษณะเปลือกไม้แข็งแรงและมีสีเข้ม เมื่อถูกตัดจะมีน้ำยางสีแดงคล้ายเลือดไหลออกมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญ ส่วน Brosimum rubescens จากอเมริกาใต้จะมีขนาดเล็กกว่า มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 15-25 เมตร แต่ยังคงมีสีของเนื้อไม้ที่สวยงามเข้มข้น ไม้บลัดมีเนื้อไม้ที่หนาแน่นและมีคุณภาพสูง มีความคงทนต่อสภาพอากาศและการผุพัง ทำให้เป็นไม้ที่นิยมใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรี ซึ่งความหนาแน่นนี้ทำให้ยากต่อการตัดและแกะสลัก แต่ก็เป็นที่ต้องการในตลาดเนื่องจากความคงทนและความงามที่แตกต่างจากไม้ชนิดอื่น

ประวัติศาสตร์ของการใช้ไม้บลัด

การใช้ไม้บลัดย้อนกลับไปได้หลายร้อยปี เริ่มจากชนพื้นเมืองในแอฟริกาและอเมริกาใต้ซึ่งใช้ไม้บลัดในการทำเครื่องใช้และเครื่องเรือน โดยเฉพาะชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ที่ใช้ไม้บลัดในการทำอาวุธและเครื่องมือไม้ เพราะความแข็งแรงทนทานของมันทำให้สามารถใช้งานได้นานและทนต่อสภาพภูมิอากาศในเขตร้อน ในแอฟริกา ไม้บลัดยังถือเป็นไม้มงคล มีความเชื่อว่าสามารถใช้ในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ ในยุคอาณานิคม ไม้บลัดถูกนำเข้าสู่ยุโรป และถูกใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เนื่องจากสีสันที่โดดเด่นและลักษณะความแข็งแรงทนทาน ทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ขุนนางและชนชั้นสูง ไม้บลัดยังถูกใช้ในการทำเครื่องดนตรี เช่น กีตาร์ และไวโอลิน เพราะเสียงที่ดีและความงามของไม้ เมื่อตลาดอุตสาหกรรมเริ่มขยายตัวในศตวรรษที่ 19 และ 20 ความต้องการไม้บลัดก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้มีการตัดไม้บลัดอย่างไม่ระมัดระวังจนทำให้บางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์

สถานะการอนุรักษ์และไซเตส (CITES)

เนื่องจากความต้องการที่สูงมากของไม้บลัดในตลาดโลก ทำให้บางสายพันธุ์เริ่มเข้าสู่ภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ Pterocarpus angolensis หรือ African Bloodwood เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนัก สายพันธุ์นี้ถูกจัดให้อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ในบางประเทศที่มีการตัดไม้เพื่อการส่งออกอย่างหนัก และนอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยิ่งส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของไม้บลัดในป่าธรรมชาติ เพื่อควบคุมการค้าไม้บลัดและป้องกันการสูญพันธุ์ ไซเตส (CITES - Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ได้ออกมาตรการควบคุมการค้าไม้บลัดจากแหล่งต่าง ๆ โดยต้องมีใบอนุญาตพิเศษในการนำเข้าและส่งออก เพื่อลดการค้าอย่างไม่ยั่งยืนและช่วยอนุรักษ์สายพันธุ์ไม้บลัดให้คงอยู่ในธรรมชาติ

การอนุรักษ์ไม้บลัด

การอนุรักษ์ไม้บลัดในปัจจุบันมีหลายวิธี ทั้งการควบคุมการค้า การส่งเสริมการปลูกป่า และการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน การจัดทำโครงการปลูกป่าเป็นหนึ่งในวิธีที่สำคัญเพื่อทดแทนปริมาณไม้บลัดที่ถูกตัดไป นอกจากนี้ การใช้ไม้ทดแทนจากแหล่งที่ยั่งยืน เช่น การใช้ไม้จากฟาร์มปลูกแทนการใช้ไม้ป่าธรรมชาติ ก็เป็นแนวทางที่ช่วยลดการตัดไม้บลัดในป่าธรรมชาติ องค์กรอนุรักษ์และรัฐบาลในหลายประเทศได้ร่วมมือกันในการจัดการปัญหานี้ เช่น ในประเทศแอฟริกาใต้และบอตสวานา ได้มีการออกกฎหมายควบคุมการตัดไม้บลัดอย่างเข้มงวด รวมถึงส่งเสริมการปลูกไม้ในพื้นที่ชุมชนเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้ไม้ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ การอนุรักษ์ยังเน้นการสร้างความรู้ให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากไม้ที่มาจากแหล่งปลูกอย่างยั่งยืน และมีการออกใบรับรองเช่น FSC (Forest Stewardship Council) ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนสนับสนุนการอนุรักษ์

Bigleaf maple

ชื่อวิทยาศาสตร์และชื่อเรียกอื่นๆ

Bigleaf Maple มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acer macrophyllum คำว่า "macrophyllum" มาจากภาษากรีกที่แปลว่า "ใบขนาดใหญ่" ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดที่สุดของต้นไม้ชนิดนี้ ชื่อเรียกอื่นๆ ของ Bigleaf Maple ยังรวมถึง Oregon Maple และ Broadleaf Maple ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะของใบและพื้นที่ที่พบได้บ่อย

แหล่งต้นกำเนิดและแหล่งที่อยู่ทางภูมิศาสตร์

Bigleaf Maple เป็นไม้ยืนต้นพื้นเมืองในภูมิภาคชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือ ตั้งแต่รัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือไปจนถึงแถบทางใต้ของรัฐบริติชโคลัมเบียในแคนาดา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศชื้น ป่าดิบและป่าผสม เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นไม้ชนิดนี้ โดยทั่วไป Bigleaf Maple มักพบในเขตป่าที่มีความชื้นสูง ริมฝั่งแม่น้ำหรือพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดบางส่วน ต้น Bigleaf Maple มีความสามารถในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดี จึงสามารถเจริญเติบโตในดินหลากหลายชนิด ตั้งแต่ดินที่มีการระบายน้ำได้ดีจนถึงดินที่มีความชื้นค่อนข้างสูง ทำให้พบได้ทั้งในพื้นที่ราบและในที่ที่มีความลาดชัน

ขนาดและลักษณะทางกายภาพ

Bigleaf Maple เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงตั้งแต่ 15 ถึง 30 เมตร (ประมาณ 50-100 ฟุต) เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นอาจใหญ่ได้ถึง 1 เมตร ใบของ Bigleaf Maple เป็นลักษณะเด่นที่สำคัญ โดยใบของต้นนี้มีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับต้นเมเปิ้ลชนิดอื่น ๆ ใบมีขนาดกว้างถึง 30-60 เซนติเมตร และมีแฉก 5-7 แฉก ขอบใบมีความหยักเล็กน้อย ทำให้ใบมีลักษณะสวยงามและเด่นชัดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีทองเข้มซึ่งสร้างทัศนียภาพที่สวยงามตามธรรมชาติ ดอกของ Bigleaf Maple มักจะออกในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยดอกเป็นช่อสีเหลืองอ่อนและห้อยลงมาเป็นกระจุก ดอกมีความหวานที่ช่วยดึงดูดผึ้งและแมลงต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผสมเกสรและสร้างระบบนิเวศที่สมดุลในพื้นที่

ประวัติศาสตร์และการใช้ประโยชน์ของต้น Bigleaf Maple

Bigleaf Maple ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในแถบอเมริกาเหนือตั้งแต่สมัยก่อน การใช้งานนั้นมีทั้งในด้านการเกษตร อุตสาหกรรมไม้ และการทำศิลปะพื้นเมือง ชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือใช้ไม้ Bigleaf Maple ทำเครื่องใช้พื้นบ้าน เช่น ตะกร้า ถาด และเครื่องมืออื่น ๆ รวมถึงการใช้ไม้ในการสร้างที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ไม้ของ Bigleaf Maple ยังมีคุณสมบัติที่แข็งแรงและมีความสวยงาม จึงมักถูกใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และเครื่องดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์และไวโอลิน เนื่องจากไม้มีความหนาแน่นปานกลาง ให้เสียงที่นุ่มนวลและมีความสมดุล น้ำหวานจากดอกของ Bigleaf Maple ยังสามารถสกัดเพื่อนำมาทำเป็นน้ำเชื่อมได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีการผลิตในปริมาณมากเช่นเดียวกับน้ำเชื่อมจากต้น Sugar Maple แต่ก็เป็นที่นิยมในบางพื้นที่ซึ่งมีต้น Bigleaf Maple จำนวนมาก

การอนุรักษ์และสถานะไซเตสของ Bigleaf Maple

ในปัจจุบัน Bigleaf Maple ยังไม่ถูกจัดอยู่ในสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์ตามอนุสัญญาไซเตส (CITES) อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากไม้ Bigleaf Maple ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรีอาจส่งผลต่อการลดลงของจำนวนต้นไม้ชนิดนี้ในบางพื้นที่ การอนุรักษ์และการปลูกป่าใหม่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ Bigleaf Maple ยังคงอยู่และสามารถเติบโตในระบบนิเวศต่อไป รัฐบาลในแถบอเมริกาเหนือได้ให้การสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าไม้และพื้นที่ธรรมชาติที่มีต้น Bigleaf Maple เจริญเติบโต โดยการตั้งเขตสงวนและการรณรงค์ปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อลดผลกระทบจากการทำลายป่า นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังและการกำหนดมาตรการในการควบคุมการตัดไม้เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้ประโยชน์จาก Bigleaf Maple ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าในระยะยาว

Argentin Osage orange

ไม้ Argentin Osage Orange (ชื่อวิทยาศาสตร์ Maclura pomifera) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Osage Orange" หรือ "Bodark" เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งในแง่ของการใช้ประโยชน์จากไม้เนื้อแข็งและการนำมาใช้ในงานก่อสร้าง รวมถึงคุณสมบัติในการป้องกันแมลงและโรคต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในอเมริกาใต้ ไม้ชนิดนี้มีชื่ออื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักกัน เช่น "Hedge Apple" และ "Monkey Ball" เป็นต้น

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ Argentin Osage Orange

ต้นไม้ Maclura pomifera มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในเขตที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐอาร์คันซอ, โอคลาโฮมา, เท็กซัส และแถบมิดเวสต์ ไม้ชนิดนี้ได้รับชื่อเรียกจากแม่น้ำโอเซจ (Osage River) ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดของต้นไม้ และกลายเป็นไม้ที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ
ในยุคแรก ๆ ผู้คนในพื้นที่ได้เริ่มใช้ไม้ Osage Orange ในการสร้างรั้วและกำแพงเนื่องจากไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและสามารถทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี นอกจากนี้ ผลของต้นไม้ยังมีลักษณะคล้ายกับผลส้ม แต่มีขนาดใหญ่และเปลือกแข็ง ทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับชื่อ "Hedge Apple" จากลักษณะการใช้ไม้เพื่อสร้างกำแพงกันสัตว์และการทำสวนที่ปลอดภัย

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงสูง มีความทนทานต่อการผุกร่อนและแมลง เนื้อไม้มีสีเหลืองทองหรือส้มอมเหลือง ซึ่งเมื่อผ่านการใช้งานและสัมผัสกับอากาศและแสงแดดจะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม้ชนิดนี้มักมีลักษณะของกิ่งที่แข็งแรงและทนทาน มีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยเฉพาะในดินที่ไม่ดีหรือพื้นที่ที่แห้งแล้ง ต้น Osage Orange สามารถเติบโตได้ถึง 12-20 เมตรในความสูง และลำต้นสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 1 เมตร เมื่อมีอายุมากพอ ลักษณะใบของต้นไม้มีรูปใบใหญ่และหนาแน่น เป็นสีเขียวเข้ม มีรอยหยักขอบใบเล็กน้อย ในขณะที่ผลของมันมีลักษณะกลมใหญ่และมีเปลือกหนาแข็ง เปลือกผลจะมีลักษณะเป็นหยัก ๆ และมีกลิ่นที่แรง ซึ่งทำให้มันไม่เป็นที่นิยมในด้านการรับประทาน

ประวัติศาสตร์ของไม้ Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange ได้รับการยอมรับและใช้ประโยชน์ในวงกว้างมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความแข็งแรงและทนทานของเนื้อไม้ จึงมักถูกนำมาใช้ในการสร้างรั้วและกำแพงเพื่อกันสัตว์และป้องกันการบุกรุกจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีพื้นที่กว้างและต้องการกำแพงที่แข็งแรง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไม้ Osage Orange ได้รับความนิยมในเชิงการค้า โดยเฉพาะในการผลิตเสาไฟฟ้า รั้วไม้ และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เนื่องจากการทนทานและราคาที่ไม่แพงเกินไป แม้ว่าจะไม่ค่อยพบเห็นในตลาดไม้ทั่วโลก แต่ก็ยังคงมีการใช้งานในบางประเทศที่มีความต้องการไม้เนื้อแข็ง

การอนุรักษ์และสถานะ CITES ของไม้ Argentin Osage Orange

แม้ว่าต้นไม้ Maclura pomifera หรือ Argentin Osage Orange จะไม่อยู่ในสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์หรือได้รับการคุ้มครองจาก CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศในสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) แต่การอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีการดูแลอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การใช้ไม้ Osage Orange ยังต้องได้รับการควบคุมอย่างเคร่งครัดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตที่มีความเสี่ยงต่อการตัดไม้ทำลายป่าในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน การอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องพื้นที่ธรรมชาติของไม้ชนิดนี้

การใช้งานไม้ Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange ได้รับความนิยมในหลายประเภทของงาน เช่น การผลิตรั้วไม้ การสร้างเสาไฟฟ้า และวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เนื่องจากความแข็งแรงและทนทานต่อการผุกร่อน นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานในด้านการทำเครื่องมือเกษตร เนื่องจากความทนทานต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ไม้ Osage Orange ยังได้รับความนิยมในการทำเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เนื่องจากสีของไม้ที่สวยงามและเนื้อไม้ที่ทนทาน การทำงานกับไม้ชนิดนี้สามารถสร้างชิ้นงานที่มีความคงทนและมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้มันเป็นที่นิยมในงานฝีมือและการตกแต่งภายใน

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การใช้ไม้ Argentin Osage Orange ควรมีการจัดการที่มีความยั่งยืน โดยการปลูกไม้ใหม่ทดแทนไม้ที่ถูกตัดไป และควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ไม่เกินกำหนด เพื่อรักษาสมดุลในธรรมชาติและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากรในปัจจุบันควรคำนึงถึงการลดการตัดไม้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้งานไม้ชนิดนี้สามารถยั่งยืนและยังคงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าต่อไป

Araracanga

ไม้ อะราแรคังกา (Araracanga) หรือที่รู้จักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aspidosperma pyrifolium เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนแถบอเมซอนและแหล่งป่าฝนในอเมริกาใต้ ไม้ชนิดนี้เป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแรง ความทนทานสูง และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ในระดับพรีเมียม ไม้ อะราแรคังกา ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ในบางท้องถิ่น เช่น "Pau-pereira" และ "Pequiá" ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของไม้ชนิดนี้ในป่าเขตร้อน

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ไม้ อะราแรคังกา พบได้ทั่วไปในป่าอเมซอน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในบราซิล โบลิเวีย โคลอมเบีย และเวเนซุเอลา ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตในสภาพอากาศเขตร้อนที่มีความชื้นสูงและดินที่อุดมสมบูรณ์ ลักษณะของป่าฝนที่มีแสงน้อยทำให้ต้น อะราแรคังกา มีความสามารถในการปรับตัวและสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีปริมาณฝนสูง

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Araracanga

ต้นไม้ อะราแรคังกา เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความสูงเฉลี่ยระหว่าง 20 ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 60 ถึง 90 เซนติเมตร เปลือกไม้มีลักษณะเรียบและมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา ใบของต้นไม้ชนิดนี้มีลักษณะเรียวยาวและมักจะมีสีเขียวเข้ม เนื้อไม้ อะราแรคังกา มีสีเหลืองอ่อนหรือน้ำตาลอ่อน และเมื่อถูกขัดเงาจะมีความเงางามที่น่าดึงดูด ลักษณะเฉพาะของไม้ชนิดนี้คือมีเส้นใยไม้ที่หนาแน่นและแน่นหนา ทำให้สามารถทนต่อแรงกดและการใช้งานที่หนักหน่วงได้ดี ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ไม้ อะราแรคังกา จึงเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในการก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความทนทานสูง

ประวัติศาสตร์ของไม้ Araracanga

ไม้ อะราแรคังกา ถูกนำมาใช้ในงานก่อสร้างมาอย่างยาวนานในพื้นที่อเมริกาใต้ ชาวพื้นเมืองในบราซิล โคลอมเบีย และโบลิเวียใช้ไม้ชนิดนี้ในการสร้างบ้านเรือน เครื่องมือการเกษตร และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการความทนทาน ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ไม้ อะราแรคังกา เริ่มถูกส่งออกไปยังทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ปัจจุบัน ไม้ชนิดนี้กลายเป็นที่นิยมในงานก่อสร้างและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะในงานสร้างอาคาร สะพาน และสิ่งปลูกสร้างที่ต้องการความคงทน นอกจากนี้ยังมีการนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความงดงามและความแข็งแรง เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่มีความหรูหรา

การอนุรักษ์และสถานะ CITES

แม้ว่าไม้ อะราแรคังกา จะมีการปลูกและการเก็บเกี่ยวอย่างยั่งยืนในหลายพื้นที่ แต่การตัดไม้ผิดกฎหมายและการบุกรุกพื้นที่ป่ายังคงเป็นปัญหาสำคัญ ไม้ชนิดนี้เป็นที่ต้องการในตลาดสูง ทำให้ต้องมีการควบคุมการเก็บเกี่ยวอย่างเข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์และปกป้องป่าฝนในอเมริกาใต้ ปัจจุบัน ไม้ อะราแรคังกา ยังไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศว่าด้วยชนิดพันธุ์สัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) แต่มีการควบคุมการเก็บเกี่ยวในระดับประเทศและท้องถิ่นในหลายประเทศ การอนุรักษ์พันธุ์ไม้ชนิดนี้และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการสูญเสียไม้ อะราแรคังกา และรักษาสมดุลของระบบนิเวศในป่าอเมซอน

การใช้งานของไม้ Araracanga

ไม้ อะราแรคังกา มีคุณสมบัติที่แข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายประเภท การใช้งานหลัก ๆ ของไม้ชนิดนี้ได้แก่การสร้างสิ่งก่อสร้าง เช่น บ้านเรือน สะพาน และสิ่งปลูกสร้างที่ต้องการไม้ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังนิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสวยงามและความคงทน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ และเตียง
ด้วยลักษณะของเนื้อไม้ที่มีความหนาแน่นสูงและทนต่อการขัดถู ไม้ อะราแรคังกา จึงเหมาะสำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ภายในบ้านที่ต้องการอายุการใช้งานยาวนาน การใช้งานในอุตสาหกรรมตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์พรีเมียมยังทำให้ไม้ชนิดนี้มีมูลค่าในตลาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การอนุรักษ์ไม้ อะราแรคังกา และการจัดการทรัพยากรป่าไม้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดการสูญพันธุ์ของไม้ชนิดนี้ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่ดูแลเรื่องป่าไม้ในหลายประเทศ เช่น บราซิล และโคลอมเบีย มีนโยบายในการอนุรักษ์และการปลูกป่าเพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพยากรที่มีค่า นอกจากนี้ การสร้างความรู้และการให้ความสำคัญแก่ชุมชนในท้องถิ่นในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าไม้ในระยะยาว การจัดการทรัพยากรไม้ อะราแรคังกา อย่างยั่งยืนต้องมีการเก็บเกี่ยวตามระเบียบและควบคุมการตัดไม้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อป่าฝนในอเมริกาใต้ การปลูกทดแทนและการควบคุมพื้นที่การปลูกยังเป็นมาตรการหนึ่งในการป้องกันการสูญเสียทรัพยากรและสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรมไม้

Angelim Vermelho

ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ (Angelim Vermelho) หรือชื่อวิทยาศาสตร์คือ Dinizia excelsa เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีชื่อเสียงในแวดวงช่างไม้และงานสถาปัตยกรรมเนื่องจากความทนทานสูง ลักษณะเฉพาะของไม้ชนิดนี้คือเนื้อไม้มีสีแดงน้ำตาลและมีความแข็งแรงมาก ไม้ชนิดนี้มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศบราซิลและยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น "Angelim Pedra" และ "Cumaru Roxo" ซึ่งสะท้อนถึงคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับไม้ชนิดอื่น ๆ ในแถบอเมซอน ความทนทานและลวดลายสวยงามของไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ ทำให้มันเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดไม้ทั่วโลก

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่นั้นเติบโตในป่าฝนอเมซอน ซึ่งถือเป็นแหล่งทรัพยากรไม้ที่สำคัญที่สุดในโลก ป่าฝนอเมซอนครอบคลุมหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เปรู โคลอมเบีย และประเทศอื่น ๆ ในเขตร้อน ป่าฝนอเมซอนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของต้นแองเจลิม เวอร์เมลโญ่ ที่ให้เนื้อไม้แข็งแรงและทนทาน
แม้ว่าบราซิลจะเป็นประเทศที่ผลิตไม้ชนิดนี้มากที่สุด แต่ก็มีการจัดการทรัพยากรอย่างระมัดระวังเพื่อให้การเก็บเกี่ยวไม้มีความยั่งยืน ด้วยเหตุนี้เองแองเจลิม เวอร์เมลโญ่จึงถูกตัดในจำนวนที่จำกัดในแต่ละปีเพื่อรักษาสมดุลของป่าไม้ธรรมชาติ

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Angelim Vermelho

ต้นแองเจลิม เวอร์เมลโญ่เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีความสูงเฉลี่ยระหว่าง 30 ถึง 50 เมตร ลำต้นตรงและสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 1-2 เมตรในบางต้น ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับการตัดเป็นแผ่นไม้ใหญ่ ลักษณะของเนื้อไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่นั้นจะมีสีแดงเข้มหรือสีส้มอมแดง ซึ่งอาจเข้มขึ้นเมื่อถูกสัมผัสกับแสงและอากาศเป็นเวลานาน
ไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและความทนทานเป็นพิเศษ สามารถทนต่อแมลงและการผุกร่อนได้ดี เป็นที่นิยมสำหรับการสร้างบ้าน สะพาน หรือสิ่งก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ประวัติศาสตร์ของไม้ Angelim Vermelho

ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่มีการใช้งานมายาวนานในพื้นที่แถบอเมซอน ชนพื้นเมืองในบราซิลและอเมริกาใต้ใช้ไม้ชนิดนี้ในการสร้างบ้านและเครื่องใช้ต่าง ๆ เนื่องจากความทนทานและคุณสมบัติป้องกันการผุกร่อน จนกระทั่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อไม้ชนิดนี้เริ่มได้รับการยอมรับจากช่างไม้และสถาปนิกในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ก็ได้ถูกนำเข้าสู่ตลาดโลกและกลายเป็นที่ต้องการอย่างสูง

ปัจจุบัน ไม้ชนิดนี้ถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างอาคาร บ้านพักอาศัย สะพาน และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแรงคงทน อีกทั้งยังได้รับความนิยมในการสร้างเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ และพื้นไม้ที่ต้องการความสวยงามและอายุการใช้งานยาวนาน

การอนุรักษ์และสถานะ CITES

ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ถือเป็นทรัพยากรไม้ที่มีคุณค่าและมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากความต้องการในตลาดที่สูง ทำให้ต้องมีการจัดการและควบคุมการตัดไม้เพื่อป้องกันการสูญพันธุ์และปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพในป่าอเมซอน
ในปัจจุบัน แม้ว่าไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่จะยังไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศว่าด้วยชนิดพันธุ์สัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) แต่หลายองค์กรและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศบราซิลและองค์กรระหว่างประเทศได้ร่วมกันรณรงค์ให้มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนากฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เคร่งครัดเพื่อลดการตัดไม้เถื่อนในป่าอเมซอน
เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ในระยะยาว การจัดการทรัพยากรและการเก็บเกี่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

การใช้งานของไม้ Angelim Vermelho

ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ได้รับความนิยมในงานก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรมเนื่องจากความแข็งแรงและทนทานสูง ไม่ว่าจะเป็นการใช้สร้างอาคาร โรงงาน สะพาน หรือโครงสร้างอื่นๆ ที่ต้องการไม้ที่แข็งแกร่งและมีอายุการใช้งานยาวนาน นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เช่น พื้นไม้ ประตู และหน้าต่าง
ด้วยความหนาแน่นและเนื้อไม้ที่มีสีสันโดดเด่น ทำให้ไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่ถูกนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการลวดลายและสีสันที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีการใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำอุปกรณ์กีฬาหรือเครื่องดนตรี เช่น กีตาร์ ที่ต้องการเสียงทุ้มต่ำและคุณสมบัติทางเสียงที่ดี

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การอนุรักษ์ป่าอเมซอนและการจัดการทรัพยากรไม้แองเจลิม เวอร์เมลโญ่เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ และปกป้องการสูญพันธุ์ของพันธุ์ไม้ชนิดนี้ การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานภาคเอกชนในบราซิลเพื่อควบคุมการตัดไม้ การเพาะปลูกใหม่ และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากไม้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็นแนวทางที่สำคัญ
นอกจากนี้ การสร้างความรู้และความตระหนักแก่ชุมชนในท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนและการป้องกันการบุกรุกป่าเพื่อการเกษตรหรือการตัดไม้เถื่อนจะช่วยลดแรงกดดันต่อป่าไม้และรักษาทรัพยากรที่สำคัญนี้ต่อไป

Andirob

ไม้แอนดิโรบา (Andiroba) หรือรู้จักกันในชื่ออื่นเช่น Crabwood, Carapa และ Cedro macho เป็นไม้เนื้อแข็งที่มาจากป่าเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าแอมะซอนและแถบแคริบเบียน ไม้แอนดิโรบามีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในภูมิภาคนั้น เนื่องจากความทนทานและคุณสมบัติพิเศษในการกันแมลง ไม้ชนิดนี้ยังเป็นที่ต้องการอย่างสูงในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับบ้าน และผลิตภัณฑ์สำหรับการก่อสร้าง

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด
ไม้แอนดิโรบามีต้นกำเนิดในป่าฝนเขตร้อนอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศบราซิล เปรู และโบลิเวีย เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบได้ในพื้นที่แถบแคริบเบียนและตอนเหนือของอเมริกากลาง ซึ่งเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น ต้นแอนดิโรบามีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหลากหลาย จึงทำให้เป็นพืชที่สำคัญต่อระบบนิเวศท้องถิ่น

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Andiroba
ต้นไม้แอนดิโรบามักมีความสูงระหว่าง 30 ถึง 40 เมตร และบางต้นอาจสูงได้ถึง 50 เมตร ลำต้นมีความหนาและแข็งแรง เปลือกของต้นไม้มีลักษณะหยาบเป็นสีเทา น้ำหนักของไม้แอนดิโรบามีความหนักแน่นและทนทานต่อการผุกร่อน และด้วยคุณสมบัติกันแมลงและเชื้อราทำให้มันมีความคงทนในการใช้งานเป็นวัสดุก่อสร้างหรือผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน
ไม้แอนดิโรบามีเนื้อไม้สีแดงอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม และจะมีสีเข้มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ไม้ชนิดนี้ยังมีเนื้อไม้ที่ละเอียดและมีความเรียบเป็นพิเศษ ทำให้เหมาะสำหรับการตกแต่งหรือใช้ในเฟอร์นิเจอร์ระดับหรู

ประวัติศาสตร์ของไม้แอนดิโรบา
ไม้แอนดิโรบาเป็นที่รู้จักและใช้ประโยชน์มายาวนานโดยชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ โดยชนเผ่าต่าง ๆ ได้ใช้เมล็ดของต้นแอนดิโรบาสกัดเป็นน้ำมันเพื่อนำไปใช้ในการรักษาบาดแผลและโรคผิวหนัง รวมถึงการบำบัดแมลงกัดต่อย น้ำมันที่ได้จากเมล็ดยังมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันแมลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องไม่ให้เฟอร์นิเจอร์หรือวัสดุจากไม้แอนดิโรบาถูกทำลาย

การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES)
แม้ว่าต้นแอนดิโรบาจะยังไม่ถือเป็นพืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่เนื่องจากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในป่าฝนแอมะซอน ทำให้พื้นที่ป่าลดลงอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ชนิดนี้จึงเริ่มได้รับความสนใจในแง่ของการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
อนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ยังไม่ได้จัดให้ไม้แอนดิโรบาอยู่ในบัญชีที่ต้องการการคุ้มครองเป็นพิเศษ แต่ในบางประเทศได้เริ่มมีการกำกับดูแลการตัดไม้แอนดิโรบาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การควบคุมปริมาณการตัดไม้และการส่งเสริมการปลูกใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสม

การใช้งานของไม้แอนดิโรบา
ไม้แอนดิโรบาถูกนำมาใช้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ งานไม้สถาปัตยกรรม และการก่อสร้าง โดยความทนทานของเนื้อไม้และคุณสมบัติกันแมลงทำให้มันเหมาะสำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานในร่มและกลางแจ้ง เช่น โต๊ะ ตู้ และเก้าอี้ รวมถึงยังเป็นที่นิยมในการผลิตประตูและหน้าต่างที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดของต้นแอนดิโรบายังถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลผิวพรรณ น้ำมันนี้มีคุณสมบัติในการรักษาแผล ลดการอักเสบ และบำรุงผิว จึงทำให้มีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเวชสำอางอีกด้วย

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
การตัดไม้แอนดิโรบาควรมีการจัดการอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าป่าไม้ที่มีอยู่จะไม่ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว การส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกต้นไม้แอนดิโรบาในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการตัดไม้และการใช้มาตรการควบคุมการตัดไม้โดยรัฐบาลเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาทรัพยากรไม้แอนดิโรบาให้คงอยู่ในระยะยาว

Amendoim

ไม้ Amendoim (อะเมนโดอิม) เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในแถบอเมริกาใต้ ไม้ชนิดนี้ไม่เพียงแต่มีความแข็งแรงและทนทาน ยังมีลวดลายที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้รับความนิยมในการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับไม้ ไม้ Amendoim มักมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค ซึ่งทำให้หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อดังกล่าว แต่การรู้จักไม้ชนิดนี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มันสามารถมอบให้

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ไม้ Amendoim (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Adenanthera pavonina) เป็นไม้ชนิดหนึ่งในตระกูล Mimosaceae ซึ่งเป็นไม้พื้นเมืองในแถบภูมิภาคเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา ต้นไม้ชนิดนี้สามารถเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นสูง ซึ่งเหมาะสำหรับการปลูกในป่าฝนเขตร้อน

ชื่อ "Amendoim" มาจากภาษาโปรตุเกสที่ใช้เรียกไม้ชนิดนี้ในบราซิล ซึ่งในบางประเทศในอเมริกาใต้ ไม้นี้อาจมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป เช่น "Pavão" ในบางพื้นที่ของบราซิลหรือ "Red Sandalwood" ในบางส่วนของอินเดีย

ต้น Amendoim ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการใช้งานไม้เนื้อแข็ง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่แข็งแรง ทนทาน และมีความทนทานต่อการผุกร่อน ทำให้มันเป็นไม้ที่เหมาะสมสำหรับการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับไม้ รวมไปถึงการทำเครื่องมือในการเกษตรและงานฝีมือต่างๆ

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Amendoim

ต้นไม้ Amendoim เป็นต้นไม้ที่มีลักษณะเด่น คือ การเจริญเติบโตที่สูงและแข็งแรง โดยปกติแล้วต้น Amendoim จะมีความสูงตั้งแต่ 10 เมตรไปจนถึง 20 เมตร โดยมีลำต้นที่ตรงและหนา ซึ่งสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตรถึง 50 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เติบโต ใบของต้น Amendoim มีลักษณะเป็นใบประกอบ ใบย่อยจะเรียงสลับกันตามแกนกลางและมีลักษณะใบรูปขอบขนาน สีของใบจะเป็นสีเขียวเข้มในฤดูฝนและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเมื่อถึงฤดูร้อน ดอกของต้น Amendoim มีสีสันสดใส เป็นสีเหลืองสดใสหรือส้ม และจะออกดอกในช่วงฤดูฝน ไม้ของ Amendoim มีความแข็งแรงและเนื้อแน่น ซึ่งทำให้มันเหมาะสมกับการใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความทนทานสูง เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีความแข็งแรงสูง และเครื่องมือที่ใช้ในงานเกษตร

ประวัติของไม้ Amendoim

ไม้ Amendoim ได้รับความนิยมในการใช้งานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะในแถบอเมริกาใต้ ที่มีการใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ต่างๆ ด้วยคุณสมบัติที่ทนทานและลวดลายที่สวยงาม ไม้ Amendoim ได้รับความสนใจจากช่างไม้และผู้ผลิตเครื่องเรือนไม้ในยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ ไม้ Amendoim ยังได้รับความนิยมในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย ซึ่งในบางพื้นที่ยังใช้ไม้ Amendoim ในการทำเครื่องมือเกษตรและงานฝีมือ นอกจากนี้ยังมีการนำเมล็ดของไม้ Amendoim มาใช้ในการทำเครื่องประดับหรือแม้แต่เป็นส่วนประกอบในงานศิลปะพื้นบ้าน

การอนุรักษ์และสถานะ CITES

เนื่องจากไม้ Amendoim เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม้ Amendoim ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในบางพื้นที่ แต่ในบางส่วนของโลกยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศในเรื่องการค้าสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) สถานะการคุ้มครองไม้ Amendoim จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและนโยบายการอนุรักษ์ของแต่ละรัฐบาล ในบางประเทศเช่น บราซิล ได้มีการกำหนดกฎระเบียบในการอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้เพื่อป้องกันการเก็บเกี่ยวที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ป่าฝนเขตร้อนของพวกเขาถูกทำลาย การคุ้มครองไม้ Amendoim จึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ท้องถิ่น และองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากไม้ชนิดนี้ได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศ

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การจัดการไม้ Amendoim อย่างยั่งยืนคือการตัดไม้ในระดับที่ไม่เกินความสามารถของป่าในการฟื้นตัว การจัดการทรัพยากรไม้ต้องคำนึงถึงการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในป่าฝนเขตร้อนและลดผลกระทบที่เกิดจากการเก็บเกี่ยวไม้ในปริมาณที่มากเกินไป การส่งเสริมการปลูกต้น Amendoim ใหม่และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเป็นวิธีการที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบนิเวศ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนจึงเป็นเรื่องสำคัญในการใช้ประโยชน์จากไม้ Amendoim เพื่อให้สามารถใช้ไม้ชนิดนี้ได้ในระยะยาว โดยไม่ทำให้ระบบนิเวศเสียหาย

Amazon Rosewood

ไม้ Amazon Rosewood เป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งที่มีความงามและคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ได้รับความนิยมในการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะ และเครื่องดนตรี แต่เนื่องจากการตัดไม้ที่มากเกินไปและการปลูกทดแทนที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไม้ชนิดนี้ใกล้สูญพันธุ์และอยู่ภายใต้การคุ้มครองจากอนุสัญญา CITES การเข้าใจเกี่ยวกับที่มา ประวัติศาสตร์ และความพยายามในการอนุรักษ์ของไม้ Amazon Rosewood จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและร่วมปกป้องทรัพยากรธรรมชาตินี้ไว้

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ไม้ Amazon Rosewood หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า "Brazilian Rosewood" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia nigra เป็นพันธุ์ไม้ที่พบมากในพื้นที่เขตร้อนของอเมซอน ประเทศบราซิล ไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่ในป่าฝนที่มีความชุ่มชื้นสูง ซึ่งสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทำให้ไม้มีลวดลายที่สวยงาม หลากหลายสี ตั้งแต่สีน้ำตาลเข้มไปจนถึงดำ สีน้ำตาลแดงที่มีลายเส้นดำเป็นเอกลักษณ์ทำให้ไม้ Amazon Rosewood โดดเด่นไม่เหมือนไม้ชนิดอื่น พื้นที่ป่าของอเมซอน ซึ่งครอบคลุมหลายประเทศในอเมริกาใต้ ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด แต่ยังเป็นบ้านของไม้ Amazon Rosewood ที่กำลังเผชิญกับภัยจากการตัดไม้เถื่อนและการเปลี่ยนพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่การเกษตร การปกป้องพื้นที่นี้จึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการอนุรักษ์ไม้ Rosewood

ขนาดและลักษณะของต้นไม้ Amazon Rosewood

ต้นไม้ Amazon Rosewood มีขนาดใหญ่ โดยสามารถเจริญเติบโตได้สูงถึง 30-40 เมตร มีลำต้นตรง แข็งแรง และเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นอยู่ที่ประมาณ 1-2 เมตร ลักษณะของใบมีขนาดเล็ก มีสีเขียวเข้ม ใบไม้มีความหนาแน่นซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำและทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เปลือกของต้นไม้นี้มีความแข็งแรงสูงและหนา เหมาะสมกับการนำไปใช้ในงานที่ต้องการความทนทาน นอกจากขนาดและความแข็งแรงแล้ว ไม้ Amazon Rosewood ยังเป็นที่รู้จักกันในด้านของน้ำมันธรรมชาติที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่สามารถต้านทานแมลงได้ดี รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานของไม้ให้ยาวนานขึ้น และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไม้ชนิดนี้เป็นที่ต้องการในตลาดเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่ง

ประวัติศาสตร์ของไม้ Amazon Rosewood

ประวัติศาสตร์ของไม้ Amazon Rosewood มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาใต้ที่ใช้ไม้ชนิดนี้ในการสร้างสิ่งของ เครื่องมือ และงานศิลปะ เมื่อชาวยุโรปเริ่มเดินทางมาสู่โลกใหม่ในศตวรรษที่ 16 ไม้ Rosewood ได้กลายเป็นสินค้าที่มีค่ามาก การนำเข้าสู่ยุโรปทำให้ความต้องการของไม้ชนิดนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่นานไม้ Rosewood ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในวัสดุที่สวยงามและมีคุณภาพสูง ในยุคที่มีการผลิตเฟอร์นิเจอร์สไตล์โบราณเช่นยุควิกตอเรีย ไม้ Amazon Rosewood ถูกนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เช่น ตู้ไม้ โซฟา โต๊ะ รวมถึงกล่องเครื่องประดับต่างๆ เนื่องจากลวดลายของไม้ที่สวยงามและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์

การอนุรักษ์และสถานะภายใต้ CITES

เนื่องจากการตัดไม้ที่มากเกินไปและการทำลายป่าไม้ในพื้นที่อเมซอน ทำให้ไม้ Amazon Rosewood หรือ Brazilian Rosewood กลายเป็นไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์ ในปี 1992 ไม้ชนิดนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนในอนุสัญญา CITES ภายใต้ภาคผนวกที่ 1 ซึ่งหมายถึงไม้ชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์และห้ามการค้าอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นในกรณีพิเศษที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การนำเข้าและส่งออกไม้ Rosewood จะต้องมีใบอนุญาตพิเศษที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ การจัดการและควบคุมการค้าไม้ Rosewood ภายใต้ CITES เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดการตัดไม้เถื่อนและช่วยรักษาไม้ชนิดนี้ให้คงอยู่ต่อไป นอกจากนี้ยังมีโครงการอนุรักษ์ป่าไม้ในพื้นที่อเมซอนเพื่อฟื้นฟูและปลูกทดแทนไม้ชนิดนี้ในป่าฝนเขตร้อนที่เป็นบ้านเกิดของมัน

คุณสมบัติและการใช้งานของไม้ Amazon Rosewood

ไม้ Amazon Rosewood มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมหลายด้าน ทั้งความแข็งแรง ความทนทาน และลวดลายที่สวยงาม ทำให้เป็นที่นิยมใช้ในงานตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องดนตรีต่างๆ ในอุตสาหกรรมดนตรี ไม้ Rosewood ถือเป็นวัสดุที่มีคุณภาพสูงในการทำกีตาร์และเครื่องสายอื่นๆ เนื่องจากสามารถส่งเสียงที่กังวานและมีคุณภาพเสียงที่ดี นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้ทำฟิงเกอร์บอร์ดและสะพานของเครื่องดนตรีต่างๆ ลักษณะพิเศษของไม้ Rosewood คือความหนาแน่นของเนื้อไม้ที่ทำให้เสียงมีความลึกและไพเราะ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักดนตรีทั่วโล

ปัญหาการทำลายป่าและการตัดไม้เถื่อน

ปัญหาการตัดไม้เถื่อนยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการอนุรักษ์ไม้ Amazon Rosewood การเข้าถึงพื้นที่ป่าฝนที่ห่างไกลและขาดการควบคุมที่เข้มงวดทำให้มีการลักลอบตัดไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ความต้องการในตลาดต่างประเทศก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้มีการตัดไม้เพิ่มขึ้น แม้จะมีมาตรการคุ้มครองจาก CITES แต่การควบคุมยังคงเป็นสิ่งที่ท้าทาย การอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยการร่วมมือกันระหว่างองค์กรสากล รัฐบาล และชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน

สรุป

ไม้ Amazon Rosewood หรือ Brazilian Rosewood เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ทรงคุณค่าและสวยงาม แต่ปัจจุบันต้องเผชิญกับภัยจากการตัดไม้และการทำลายป่า การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรนี้อย่างยั่งยืนจะช่วยให้เราสามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในป่าฝนเขตร้อน รวมถึงปกป้องทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง การสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาไม้ Amazon Rosewood ให้อยู่กับเราในอนาคต

African mahogany

ไม้ African Mahogany หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยว่า "ไม้มะฮอกกานีแอฟริกา" ถือเป็นไม้ที่มีคุณค่าและมีความนิยมสูงในอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์และการก่อสร้างด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น มีความทนทาน สีสันสวยงาม และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้มีความต้องการในตลาดโลกอย่างสูง รวมทั้งยังมีชื่ออื่นที่คนทั่วโลกเรียกอีกมากมาย ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไม้ African Mahogany ในหลายแง่มุม ตั้งแต่แหล่งที่มา ประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์ และสถานะการจัดการในไซเตส (CITES)

ต้นกำเนิดและแหล่งที่มา

ไม้ African Mahogany มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Khaya spp. และมักพบในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางในประเทศ เช่น กานา ไอวอรีโคสต์ แคเมอรูน ไนจีเรีย และคองโก ภูมิประเทศเหล่านี้เป็นป่าฝนเขตร้อนที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นมะฮอกกานีแอฟริกา ด้วยความสูงที่สามารถเติบโตได้ถึง 30-40 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นเฉลี่ยประมาณ 1-2 เมตร ทำให้ไม้ชนิดนี้เป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าและมีความแข็งแกร่ง ไม้ African Mahogany นับว่าเป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ต้นไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกต่าง ๆ ที่ผู้คนในแอฟริกาเรียกขานกัน เช่น "Akom" ในภาษาไนจีเรีย "Bitehi" ในไอวอรีโคสต์ และ "Aboudikro" ในประเทศอื่น ๆ ชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับต้นไม้นี้

ประวัติศาสตร์และการใช้งาน

การใช้ไม้ African Mahogany มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ไม้ชนิดนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตในหลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การสร้างเรือและสิ่งปลูกสร้างไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เนื้อแข็ง คุณสมบัติของไม้ที่มีเนื้อเรียบ สีสันสวยงาม และมีความคงทน ทำให้สามารถทนต่อการใช้งานในระยะยาว และป้องกันแมลงและปลวกได้ดี นอกจากนี้ ไม้ African Mahogany ยังมีเนื้อสัมผัสที่เรียบเนียน ซึ่งทำให้เหมาะแก่การขัดให้เงางาม ไม้ African Mahogany เริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมมากขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วงการล่าอาณานิคมของประเทศยุโรป ซึ่งมีการนำไม้ชนิดนี้จากแอฟริกาไปสู่ตลาดโลก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบการค้าขายไม้ระหว่างทวีปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งในปัจจุบันที่ไม้ African Mahogany ถูกใช้เป็นวัสดุหลักในหลายอุตสาหกรรม ทั้งในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ พื้นไม้ปู พื้นผนัง และแม้กระทั่งการทำเครื่องดนตรี

ลักษณะและคุณสมบัติของไม้ African Mahogany

ไม้ African Mahogany มีลักษณะเนื้อไม้สีแดงอมชมพูถึงน้ำตาลเข้ม มีลายไม้ที่สวยงามและโดดเด่นซึ่งแตกต่างไปตามแต่ละสายพันธุ์ ลักษณะของเนื้อไม้สามารถแบ่งได้ออกเป็นสองส่วน คือ เนื้อไม้สีขาวนวลที่อยู่ด้านนอก และเนื้อไม้สีแดงหรือน้ำตาลเข้มที่อยู่ด้านในซึ่งมีความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ ไม้ African Mahogany ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันแมลงและทนทานต่อความชื้นได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งภายนอกและภายในอาคาร

การอนุรักษ์และความเสี่ยงในการสูญพันธุ์

เนื่องจากความต้องการในตลาดที่สูงและการตัดไม้ที่ไม่ยั่งยืน ทำให้แหล่งทรัพยากรของไม้ African Mahogany ลดลงอย่างรวดเร็ว ในหลายประเทศที่เป็นแหล่งปลูกไม้ชนิดนี้ มีการประกาศมาตรการในการอนุรักษ์ เช่น การควบคุมการตัดไม้ และการส่งเสริมการปลูกต้นมะฮอกกานีใหม่เพื่อเพิ่มปริมาณทรัพยากร แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาการลักลอบตัดไม้โดยไม่มีใบอนุญาตในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อการคงอยู่ของสายพันธุ์นี้

สถานะในไซเตส (CITES) และการควบคุมการค้า

ไม้ African Mahogany ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีการค้าของไซเตส (CITES) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ควบคุมการค้าขายพืชและสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยไม้ African Mahogany อยู่ในบัญชีที่สอง (Appendix II) ซึ่งหมายความว่าการค้านำเข้าและส่งออกจะต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้สายพันธุ์นี้สูญพันธุ์อย่างถาวร ดังนั้น การส่งออกและนำเข้าไม้ African Mahogany จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่มีอำนาจ เช่น ในประเทศไทยจะมีกรมป่าไม้เป็นผู้ควบคุมกระบวนการนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม้ทุกชิ้นที่ถูกนำมาจำหน่ายในตลาดนั้นถูกตัดจากแหล่งที่ได้รับการอนุญาตและมีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

Makha

ไม้มะค่า (Afzelia xylocarpa) ไม้มะค่าถือเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีมูลค่าสูงและหายากในปัจจุบัน เพราะนอกจากความทนทานและแข็งแรงแล้ว ยังมีจุดเด่นที่โดดเด่นในด้านความสวยงามของลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะยิ่งสวยงามขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยไม้มะค่าจะมีเนื้อไม้แน่นและหนัก มีลวดลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อขัดเงา สีจะดูอบอุ่นมีเสน่ห์ และลายไม้จะดูมีมิติ ซึ่งทำให้เหมาะกับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสวยงามและความคงทน

ไม้มะค่ายังเป็นไม้ที่มีความนิยมและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว และกัมพูชา เพราะมีลักษณะเด่นทั้งในด้านความสวยงาม ความทนทาน และคุณสมบัติทางเทคนิคที่เหมาะสมกับการใช้งานหลากหลายชนิด

ไม้มะค่ามีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นไม้ที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

1. ความแข็งแรงและทนทาน

  • ไม้มะค่าเป็นไม้เนื้อแข็ง มีความแข็งแรงมาก ทนทานต่อแรงกด แรงดึง และการกระแทกสูง จึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี
  • มีความทนทานต่อสภาพอากาศและความชื้นสูง ทำให้เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องการความคงทน รวมถึงใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก

2. ทนต่อแมลงและเชื้อรา

  • ไม้มะค่ามีความต้านทานต่อปลวกและมอดได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงกัดกินหรือเชื้อราที่มักเกิดกับไม้ทั่วไป

3. ลวดลายและสีสันสวยงาม

  • ไม้มะค่ามีลวดลายที่สวยงาม มีเส้นลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีสีตั้งแต่เหลืองอมน้ำตาลไปจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม ซึ่งเป็นสีที่มีเอกลักษณ์และให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้เหมาะกับงานตกแต่งภายใน
  • เมื่อขัดเงาจะมีความเงางามและลวดลายโดดเด่นขึ้นมา เพิ่มความหรูหราให้กับงานเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้

4. ง่ายต่อการขัดเงาและเคลือบผิว

  • ไม้มะค่ามีเนื้อไม้ที่ขัดเงาได้ง่าย ทำให้สามารถเพิ่มความเงางามและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี
  • สามารถเคลือบผิวได้ง่ายด้วยน้ำยาเคลือบหลากหลายชนิด ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

5. น้ำหนักและความหนาแน่นสูง

  • ไม้มะค่ามีความหนาแน่นและน้ำหนักมาก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการใช้งานที่ต้องการความคงทนและแข็งแรง
  • ความหนาแน่นนี้ยังช่วยให้ไม้มะค่ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แม้ต้องเผชิญกับการใช้งานหนักหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

6. มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและหายาก

  • ด้วยความแข็งแรงและความสวยงามที่โดดเด่น ไม้มะค่าจึงมีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการในตลาด ทำให้เป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
  • ปัจจุบันไม้มะค่าเริ่มหายากขึ้น เนื่องจากการตัดไม้เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไม้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การใช้งาน

  • เฟอร์นิเจอร์: ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ เนื่องจากมีความสวยงามและทนทาน
  • งานก่อสร้าง: สามารถใช้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างบ้าน เช่น เสาไม้และพื้นไม้ เนื่องจากมีความแข็งแรงสูง
  • งานแกะสลัก: เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงาม ทำให้ไม้มะค่าเป็นที่นิยมสำหรับงานแกะสลักและงานตกแต่ง

การดูแลรักษา

ไม้มะค่าควรได้รับการรักษาความชื้นและการเคลือบผิวเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนและรอยด่าง และหากอยู่ในที่แห้งควรหลีกเลี่ยงความชื้นมากเกินไปเพื่อรักษาสีและลายให้คงอยู่ได้นาน

คุณสมบัติโดดเด่น

  • เป็นไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม
  • มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและแมลงศัตรูไม้
  • มีเนื้อไม้แข็งแรง ใช้งานได้หลากหลาย

 

ชื่อสามัญ: Makha Wood, Maka, Afzelia Burl, Burl Wood

ชื่อวิทยาศาสตร์: Afzelia xylocarpa

ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า

ความสูงลำต้น: 85 ฟุต - 130 ฟุต (26  - 40 เมตร)

เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น: 6.5 ฟุต (2 เมตร)

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย: 51.5 lbf/ft3 (825 kg/m3 )

ความถ่วงเฉพาะ: 12% Mc

ความแข็ง (Janka):  1,980 lbf (8,820 N)

โมดูลัสของการแตกร้าว: 17,210 lbf/in2 (118.7 Mpa)

โมดูลัสยืดหยุ่น:  1,939,000 lbf/in2 (13.37 Gpa)

แรงอัด:  9,960 lbf/in2 (68.7 Mpa)

Lignum vitae

ไม้ Lignum vitae (อ่านว่า "ลิกนัม ไวตี้") หรือ “แก้วเจ้าจอม” มีชื่อสามัญว่า Lignum Vitae ในภาษาละตินแปลว่า “ไม้แห่งชีวิต” แม้แก้วเจ้าจอมจะเป็นไม้ต่างถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะเวสต์อินดีส เป็นหนึ่งในไม้ที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดในโลกจนสามารถ จมน้ำได้ ซึ่งหาได้ยากสำหรับไม้ทั่วไป เพราะไม้มักลอยน้ำตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ลิกนัมไวตี้ยังมีความพิเศษมากด้วยน้ำมันตามธรรมชาติที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ ทำให้มันมีคุณสมบัติ ทนต่อการเสียดสีและความชื้น สูงมาก

ไม้ Lignum vitae (จากพืชสกุล Guaiacum) มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการที่ทำให้มันแตกต่างจากไม้ชนิดอื่น:

1. ความหนาแน่นและความแข็งแรง

  • Lignum vitae ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่หนักที่สุดในโลก ด้วยความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 1,230–1,370 กก./ลูกบาศก์เมตร ซึ่งหมายความว่ามันสามารถจมน้ำได้ เนื่องจากมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ​
  • ค่าความแข็ง (Janka Hardness) อยู่ที่ประมาณ 4,500–5,000 ปอนด์ฟอร์ซ (lbf) ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานของไม้ทั่วไปอย่างมาก ทำให้ทนต่อการสึกหรอได้ดีมาก​

2. การหล่อลื่นในตัวเอง

  • เนื้อไม้มีน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นภายนอกในการใช้งานบางประเภท เช่น แบริ่งของเพลือกเรือหรือเครื่องจักร​
    คุณสมบัตินี้ช่วยให้ Lignum vitae ทนทานต่อการใช้งานหนักในสภาวะที่ต้องเสียดสีสูง

3. ความทนทานต่อการผุกร่อนและแมลง

  • ด้วยน้ำมันธรรมชาติและความหนาแน่นสูง ทำให้ Lignum vitae ทนต่อแมลงและการผุกร่อนได้ดี ไม่จำเป็นต้องผ่านการอบหรือการรักษาด้วยสารเคมีเพิ่มเติม​

4. การใช้งานทางอุตสาหกรรม

  • ในอดีต Lignum vitae ถูกใช้เป็นแบริ่งสำหรับเรือเดินทะเล เนื่องจากสามารถรับแรงกระแทกได้ดีและไม่เสียหายแม้แช่ในน้ำทะเลนาน ๆ​ นอกจากนี้ยังถูกใช้ทำบูช (bushings) ในกังหันไอน้ำและในอุตสาหกรรมเครื่องจักรต่าง ๆ

5. โครงสร้างทางกายภาพ

  • เนื้อไม้มีลายไม้ที่ละเอียดและซับซ้อน และเนื่องจากมีสีเขียวเข้มจนถึงน้ำตาลเข้ม ทำให้มักถูกนำไปใช้ในการแกะสลักเครื่องประดับ หรือทำด้ามเครื่องมือและอุปกรณ์ดนตรี
placeholder image
placeholder image

ชื่อสามัญ : ลิกนัมไวแท, พาโลซันโต, กวายาคาน, ฮอลีวูด, ลิกนัมไวแทแท้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Guaiacum officinale และ G. sanctum

การกระจายพันธุ์ : อเมริกากลางและตอนเหนือของอเมริกาใต้

ขนาดของต้น : สูง 20-30 ฟุต (6-10 เมตร) เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-2 ฟุต (0.3-0.6 เมตร)

น้ำหนักเฉลี่ย (เมื่อแห้ง) : 78.5 ปอนด์/ฟุต³ (1,260 กก./ม³)

ความถ่วงจำเพาะ (พื้นฐาน, ความชื้น 12%) : 1.05, 1.26

ค่าความแข็ง Janka : 4,390 ปอนด์แรง (19,510 นิวตัน)

โมดูลัสของการแตกหัก (MOR) : 17,970 ปอนด์แรง/นิ้ว² (123.9 MPa)

โมดูลัสของความยืดหยุ่น (MOE) : 2,481,000 ปอนด์แรง/นิ้ว² (17.11 GPa)

ค่าความแข็งแรงในการบดอัด : 12,380 ปอนด์แรง/นิ้ว² (85.4 MPa)

การหดตัว:

  • รัศมี: 5.3%
  • แนวสัมผัส: 8.7%
  • ปริมาตรรวม: 14.0%
  • อัตราส่วน T/R: 1.6

Angelique

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

 

คุณสมบัติและข้อมูลสำคัญ

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

1. แหล่งที่มาของไม้ Angelique
ไม้ Angelique มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบชื้นของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศอย่าง กายอานา บราซิล และเวเนซุเอลา ทำให้เป็นไม้ที่เติบโตในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ส่งผลให้ไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

2. ลักษณะเนื้อไม้
เนื้อไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีโครงสร้างหนาแน่น สีเนื้อไม้มีตั้งแต่สีน้ำตาลอมแดงไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มีความมันวาวตามธรรมชาติเมื่อขัดเงา ซึ่งช่วยเสริมความหรูหราและเพิ่มความทนทานของเนื้อไม้

3. ลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์
ไม้ Angelique มีลวดลายสามมิติที่เป็นธรรมชาติ ดูราวกับภาพภูเขาสูงตระหง่าน ลวดลายมีทั้งเส้นตรงและเส้นโค้งที่คดเคี้ยวเล็กน้อย สลับกับเงาเข้มและอ่อนอย่างลงตัว เป็นไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน

 

4. ความทนทานสูงและการใช้งานภายนอก
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ไม้ Angelique สามารถใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์สนาม รั้วไม้ โครงสร้างอาคาร หรือแม้แต่พื้นภายนอกบ้าน เพราะทนต่อความชื้นและเชื้อรา

5. ป้องกันแมลงตามธรรมชาติ
ไม้ Angelique มีคุณสมบัติป้องกันแมลงตามธรรมชาติ เนื่องจากมีสารเคมีตามธรรมชาติในเนื้อไม้ที่ทำให้แมลงไม่ชอบ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการไม้ที่ไม่ต้องใช้สารเคลือบเพื่อป้องกันแมลง

6. สีสันที่เป็นธรรมชาติและโดดเด่น
สีของไม้ Angelique อยู่ในโทนน้ำตาลอมเหลืองไปจนถึงน้ำตาลแดง สร้างความอบอุ่นและเป็นมิตรต่อสายตา เหมาะสำหรับการตกแต่งทั้งแบบคลาสสิกและสมัยใหม่ สีที่ได้จากธรรมชาตินี้ช่วยให้ไม้ดูสดใสและเพิ่มเสน่ห์ให้กับทุกพื้นที่

7. เหมาะสำหรับการตกแต่งหลากหลายสไตล์
ไม้ Angelique สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หลากหลายรูปแบบ เช่น โต๊ะกลาง เคาน์เตอร์ ชั้นวางของ และงานตกแต่งผนัง ทั้งยังสามารถนำไปทำชิ้นงานขนาดใหญ่ได้ดี เนื่องจากมีขนาดที่กว้างและยาว มอบความหรูหราและน่าสนใจในทุกพื้นที่

8. เพิ่มมูลค่าทางศิลปะและพลังแห่งธรรมชาติ
ลวดลายที่สวยงามของไม้ Angelique ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ ผสมผสานความสวยงามและความทนทานอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าไม้ที่มีลายคล้ายภูเขานี้นำพลังบวกและเสริมความสำเร็จแก่ผู้ครอบครอง

9. อายุการใช้งานที่ยาวนานและคุ้มค่า
ไม้ Angelique มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ผุกร่อนง่าย จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ใช้งานได้หลายสิบปีและมีความทนทานต่อสภาพอากาศมากกว่าไม้ชนิดอื่นๆ

10. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้ไม้ Angelique ซึ่งเป็นไม้ที่มีอายุการใช้งานยาวนานและไม่ต้องการการดูแลซ้ำซ้อน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม้ที่มีความทนทานสูงทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมบ่อย ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

Family FABACEAE-CAESALPINIOIDEAE (angiosperm)
Scientific name(s) Synonymous CITES: IUCN:
Dicorynia guianensis
Dicorynia paraensis
Not listed NE

ชื่อท้องถิ่น

ATIBT Pilot Name
Basralocus
Brazil
Angelica Do Para
Brazil
Basralocus
Brazil
Tapaiuna
French Guiana
Angelique
Suriname
Barakaroeballi
Suriname
Basralokus
China
圭亚那双柱苏木

ลักษณะทางกายภาพ

Grain Straight
Interlocked Grain Absent
Sapwood Clearly demarcated
Texture Medium
Typical Color Brown

คำอธิบายทางกายภาพ

Crushing Strength 70 MPa +/- 3
Specific Gravity (at 12% MC) 0.79 g/cm3 +/- 0.05
Stability Moderately stable
Static bending strength 121 MPa +/- 46

ข้อมูลเชิงเทคนิค

สี: สีน้ำตาลแดงถึงน้ำตาลแดงหรือเหลือง
ขนาดลำต้น: 30 – 45 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น : 60 – 90 เซ็นติเมตร
ค่าความแข็ง Janka  : 1,270 ปอนด์ (หรือประมาณ 5,650 นิวตัน)
แรงอัด (Mpa แห้ง) : 67 – 73 Mpa
ความถ่วงจำเพาะ : 0.74 – 0.84
ความหนาแน่น(kg/m3 dry): 1.08 กก./ลบ.ม.

Quina

ชื่อสามัญ:  Quina

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Myroxylon peruiferum

การกระจายพันธุ์: เม็กซิโกตอนใต้และอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ขนาดต้นไม้:  สูง 65-100 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง:  2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:   58 lbf/ft3 (930 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.77, 0.93

ความแข็ง :   2,200 lbf (9,790 N)

การแตกหัก : 22,770 lbf/in2 (157.0 Mpa)

การยืดหยุ่น:  2,430,000 lbf/in2 (16.76 Gpa)

แรงอัดแตก:  12,250 lbf/in2 (84.5 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 3.8%, Tangential: 6.2%, Volumetric: 10.0%, T/R Ratio: 1.6

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ:  ไม้ Quina มีความแปรผันของสีในระดับที่พอเหมาะ ตั้งแต่สีน้ำตาลทองอ่อนไปจนถึงสีแดงอมม่วงเข้มหรือสีแดงเบอร์กันดี สีมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง/ม่วงมากขึ้นตามอายุ ส่วนไม้ผ่าสี่สามารถแสดงรูปแบบลายทางหรือริบบิ้น

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:  เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนสนโดยมีผิวสัมผัสเนื้อไม้หยาบปานกลางถึงละเอียด และมีรูพรุนของเนื้อไม้ขนาดปานกลาง

ความทนทาน: ได้รับการจัดอันดับว่ามีความคงทนมากในแง่ของความต้านทานการผุกร่อน และไวต่อการรุกรานของแมลง

ความสามารถในการใช้:  ไม้Quina มีผลทื่อต่อใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะการทำงานได้รับการจัดอันดับว่าดีระดับนึงถึงแย่ เนื่องจากทั้งความหนาแน่นและเสี้ยนเนื้อไม้ที่เป็นเสี้ยนสน บางครั้งการย้อมสีหรือติดกาวอาจเป็นปัญหาได้ แม้ว่าไม้จะใช้งานได้ดีก็ตาม

กลิ่น: ไม้Quina  มีกลิ่นเผ็ดที่โดดเด่นมากเมื่อทำงาน ต้นไม้จากสกุล Myroxylon ใช้ทำยาหม่องของประเทศเปรู ซึ่งเป็นส่วนผสมในน้ำหอม

การแพ้/ความเป็นพิษ:  ไม้Quina  ได้รับรายงานว่าทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ  ดูบทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่:  ควรอยู่ในช่วงกลางสำหรับไม้ที่นำเข้า เปรียบเทียบกับไม้เนื้อแข็งแปลกใหม่อื่น ๆ ที่ใช้ในการปูพื้นเช่น ไม้ Ipe

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List )

การใช้งานทั่วไป:  ปูพื้น เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายใน โครงสร้างหนัก และงานกลึง


อ้างอิง
Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/quina/

หน้าหลัก เมนู แชร์