IUCN Status - อะ-ลัง-การ 7891

IUCN status

African mahogany

ไม้ African Mahogany หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยว่า "ไม้มะฮอกกานีแอฟริกา" ถือเป็นไม้ที่มีคุณค่าและมีความนิยมสูงในอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์และการก่อสร้างด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น มีความทนทาน สีสันสวยงาม และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้มีความต้องการในตลาดโลกอย่างสูง รวมทั้งยังมีชื่ออื่นที่คนทั่วโลกเรียกอีกมากมาย ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับไม้ African Mahogany ในหลายแง่มุม ตั้งแต่แหล่งที่มา ประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์ และสถานะการจัดการในไซเตส (CITES)

ต้นกำเนิดและแหล่งที่มา

ไม้ African Mahogany มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Khaya spp. และมักพบในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางในประเทศ เช่น กานา ไอวอรีโคสต์ แคเมอรูน ไนจีเรีย และคองโก ภูมิประเทศเหล่านี้เป็นป่าฝนเขตร้อนที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของต้นมะฮอกกานีแอฟริกา ด้วยความสูงที่สามารถเติบโตได้ถึง 30-40 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นเฉลี่ยประมาณ 1-2 เมตร ทำให้ไม้ชนิดนี้เป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าและมีความแข็งแกร่ง ไม้ African Mahogany นับว่าเป็นหนึ่งในไม้เนื้อแข็งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ต้นไม้ชนิดนี้ยังมีชื่อเรียกต่าง ๆ ที่ผู้คนในแอฟริกาเรียกขานกัน เช่น "Akom" ในภาษาไนจีเรีย "Bitehi" ในไอวอรีโคสต์ และ "Aboudikro" ในประเทศอื่น ๆ ชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับต้นไม้นี้

ประวัติศาสตร์และการใช้งาน

การใช้ไม้ African Mahogany มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ไม้ชนิดนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่อดีตในหลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การสร้างเรือและสิ่งปลูกสร้างไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เนื้อแข็ง คุณสมบัติของไม้ที่มีเนื้อเรียบ สีสันสวยงาม และมีความคงทน ทำให้สามารถทนต่อการใช้งานในระยะยาว และป้องกันแมลงและปลวกได้ดี นอกจากนี้ ไม้ African Mahogany ยังมีเนื้อสัมผัสที่เรียบเนียน ซึ่งทำให้เหมาะแก่การขัดให้เงางาม ไม้ African Mahogany เริ่มเป็นที่รู้จักและนิยมมากขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในช่วงการล่าอาณานิคมของประเทศยุโรป ซึ่งมีการนำไม้ชนิดนี้จากแอฟริกาไปสู่ตลาดโลก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบการค้าขายไม้ระหว่างทวีปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งในปัจจุบันที่ไม้ African Mahogany ถูกใช้เป็นวัสดุหลักในหลายอุตสาหกรรม ทั้งในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ พื้นไม้ปู พื้นผนัง และแม้กระทั่งการทำเครื่องดนตรี

ลักษณะและคุณสมบัติของไม้ African Mahogany

ไม้ African Mahogany มีลักษณะเนื้อไม้สีแดงอมชมพูถึงน้ำตาลเข้ม มีลายไม้ที่สวยงามและโดดเด่นซึ่งแตกต่างไปตามแต่ละสายพันธุ์ ลักษณะของเนื้อไม้สามารถแบ่งได้ออกเป็นสองส่วน คือ เนื้อไม้สีขาวนวลที่อยู่ด้านนอก และเนื้อไม้สีแดงหรือน้ำตาลเข้มที่อยู่ด้านในซึ่งมีความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ ไม้ African Mahogany ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันแมลงและทนทานต่อความชื้นได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานทั้งภายนอกและภายในอาคาร

การอนุรักษ์และความเสี่ยงในการสูญพันธุ์

เนื่องจากความต้องการในตลาดที่สูงและการตัดไม้ที่ไม่ยั่งยืน ทำให้แหล่งทรัพยากรของไม้ African Mahogany ลดลงอย่างรวดเร็ว ในหลายประเทศที่เป็นแหล่งปลูกไม้ชนิดนี้ มีการประกาศมาตรการในการอนุรักษ์ เช่น การควบคุมการตัดไม้ และการส่งเสริมการปลูกต้นมะฮอกกานีใหม่เพื่อเพิ่มปริมาณทรัพยากร แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาการลักลอบตัดไม้โดยไม่มีใบอนุญาตในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อการคงอยู่ของสายพันธุ์นี้

สถานะในไซเตส (CITES) และการควบคุมการค้า

ไม้ African Mahogany ถูกจัดให้อยู่ในบัญชีการค้าของไซเตส (CITES) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ควบคุมการค้าขายพืชและสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ โดยไม้ African Mahogany อยู่ในบัญชีที่สอง (Appendix II) ซึ่งหมายความว่าการค้านำเข้าและส่งออกจะต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้สายพันธุ์นี้สูญพันธุ์อย่างถาวร ดังนั้น การส่งออกและนำเข้าไม้ African Mahogany จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่มีอำนาจ เช่น ในประเทศไทยจะมีกรมป่าไม้เป็นผู้ควบคุมกระบวนการนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม้ทุกชิ้นที่ถูกนำมาจำหน่ายในตลาดนั้นถูกตัดจากแหล่งที่ได้รับการอนุญาตและมีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

African Juniper

ไม้ African Juniper หรือที่รู้จักในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Juniperus procera เป็นพันธุ์ไม้สนชนิดหนึ่งที่พบได้มากในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาสูงของแอฟริกาตะวันออก เช่น ประเทศเอธิโอเปีย เคนยา และแทนซาเนีย ต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกในหลายภาษาและชื่ออื่นที่คุ้นหูกัน เช่น East African Cedar หรือ Ethiopian Juniper เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงทนทานสูงและมีลักษณะพิเศษที่โดดเด่น ทั้งนี้ African Juniper มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมสูง เนื่องจากเนื้อไม้ที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง และมีการใช้ในงานก่อสร้าง และการแกะสลัก

แหล่งที่มาและถิ่นกำเนิดของ African Juniper

African Juniper มีถิ่นกำเนิดหลักอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูงและป่าเบญจพรรณในแอฟริกาตะวันออก เช่น ในประเทศเอธิโอเปียและเคนยา โดยต้นไม้นี้เติบโตได้ดีในภูมิอากาศเย็นและแห้ง เป็นไม้ที่มักพบได้ในระดับความสูงตั้งแต่ 1,500 ถึง 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล สภาพดินที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของต้น African Juniper คือต้องเป็นดินที่ระบายน้ำได้ดีและมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ซึ่งทำให้ต้นไม้ชนิดนี้สามารถอยู่รอดในพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยหรือภูมิอากาศแห้งแล้งได้

นอกจากในแอฟริกาแล้ว ยังมีการค้นพบต้น Juniper ชนิดนี้ในพื้นที่ภูเขาสูงบางแห่งในอาระเบียและบางส่วนของตะวันออกกลาง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการกระจายตัวในแถบพื้นที่กึ่งแห้งแล้งและภูมิอากาศเย็น

ขนาดและลักษณะของต้น African Juniper

ต้น African Juniper เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงมาก สามารถเติบโตได้ถึง 20-25 เมตร เมื่อต้นโตเต็มที่ เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นมีขนาดตั้งแต่ 40-80 เซนติเมตร ซึ่งทำให้ต้นไม้ชนิดนี้มีความโดดเด่นสูงในป่าภูเขา เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลอมแดงและมีลักษณะขรุขระ แตกเป็นแผ่นและลอกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนใบเป็นใบรูปเข็ม มีสีเขียวเข้มและมักอยู่รวมกันเป็นพุ่มแน่น เมล็ดของ African Juniper มีขนาดเล็กและมีสีเขียวเข้มถึงน้ำตาลเข้มเมื่อแก่เต็มที่

เนื้อไม้ของ African Juniper มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่เกิดจากน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ จึงมีการใช้เนื้อไม้เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่าง ๆ ที่ต้องการความสวยงามทนทาน นอกจากนี้ยังมีการใช้ต้นไม้ชนิดนี้ในการก่อสร้างภายในบ้านเรือน ซึ่งช่วยให้บ้านมีกลิ่นหอมเป็นธรรมชาติที่คงทน

ประวัติศาสตร์และการใช้ไม้ African Juniper

ในอดีต African Juniper ถูกใช้โดยชาวพื้นเมืองในแอฟริกาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้เนื้อไม้ในการสร้างบ้าน แกะสลักเป็นเครื่องประดับ รวมไปถึงการทำเครื่องเรือนสำหรับชนชั้นสูง ไม้ชนิดนี้ยังเป็นที่นิยมในหมู่ช่างแกะสลักและช่างไม้พื้นบ้าน เนื่องจากลวดลายที่สวยงามและเนื้อไม้ที่คงทน นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ช่วยไล่แมลงและป้องกันการกัดกร่อนตามธรรมชาติ

นอกจากการใช้ในด้านเฟอร์นิเจอร์และเครื่องแกะสลักแล้ว African Juniper ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยชาวแอฟริกาตะวันออกและชนพื้นเมืองในเอธิโอเปียถือว่าไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความยั่งยืนและความแข็งแกร่ง ทำให้ต้น African Juniper มักถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังใช้เป็นยาพื้นบ้านเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ เช่น บรรเทาอาการปวดและต้านการอักเสบ

การอนุรักษ์และสถานะ CITES ของ African Juniper

เนื่องจากการตัดไม้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้จำนวนต้น African Juniper ลดลงอย่างรวดเร็วในพื้นที่ถิ่นกำเนิดบางแห่ง โดยเฉพาะในแถบเอธิโอเปียและเคนยา ซึ่งมีการตัดไม้เพื่อเป็นทรัพยากรในการก่อสร้างและการทำเฟอร์นิเจอร์เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ การสูญเสียพื้นที่ป่าภูเขาที่เป็นถิ่นอาศัยของต้นไม้ชนิดนี้ทำให้ African Juniper ถูกคุกคามอย่างมาก ปัจจุบัน African Juniper ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชี CITES แต่มีการควบคุมและกฎระเบียบในบางประเทศเพื่อป้องกันการตัดไม้มากเกินไป ประเทศเอธิโอเปียและเคนยาได้เริ่มมีโครงการอนุรักษ์โดยการส่งเสริมการปลูกป่าและควบคุมการตัดไม้แบบยั่งยืน อีกทั้งยังมีการให้ความรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ไม้ African Juniper และระบบนิเวศภูเขา นอกจากนี้ยังมีการวิจัยเพื่อหาวิธีการปลูกต้น African Juniper ขึ้นใหม่ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของสัตว์และพันธุ์พืชพื้นถิ่นที่มีความสัมพันธ์เชิงชีวภาพกับต้น Juniper โดยเน้นการส่งเสริมความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการเกษตรแบบยั่งยืน

สรุป

ต้น African Juniper หรือ Juniperus procera เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ด้วยคุณลักษณะเฉพาะตัวของเนื้อไม้ที่แข็งแรง ทนทาน และมีกลิ่นหอมเฉพาะ ทำให้ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการก่อสร้าง รวมถึงมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนในแถบแอฟริกา อย่างไรก็ตาม การอนุรักษ์และการใช้งานอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่า African Juniper จะยังคงมีอยู่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและใช้ประโยชน์ต่อไป

African crabwood

ไม้ African Crabwood หรือที่รู้จักในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carapa procera เป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและมีความสำคัญทางวัฒนธรรมในหลายประเทศในแอฟริกา นอกจากชื่อ African Crabwood แล้ว ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Andiroba ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมใช้ในบราซิล เนื่องจากไม้ชนิดนี้พบได้ทั้งในทวีปแอฟริกาและในป่าเขตร้อนของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในแอมะซอน ด้วยเนื้อไม้ที่แข็งแรงและมีลวดลายสวยงาม African Crabwood จึงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการผลิตน้ำมันจากเมล็ดที่มีประโยชน์ทางยา

แหล่งที่มาของ African Crabwood African Crabwood พบได้ในป่าฝนและป่าชุ่มชื้นของแอฟริกาตะวันตก เช่น ไนจีเรีย กานา และไอวอรี่โคสต์ เป็นต้น โดยจะเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้นและมีฝนตกชุก นอกจากแอฟริกาแล้ว ยังพบ African Crabwood ในป่าเขตร้อนของอเมริกาใต้ เช่น บราซิล กายอานา และเปรู ซึ่งทำให้ไม้ชนิดนี้เป็นพืชที่เติบโตได้ในหลายทวีป อย่างไรก็ตาม African Crabwood มีการเติบโตที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคตามสภาพแวดล้อมและสภาพดิน

ขนาดและลักษณะของต้น African Crabwood ต้น African Crabwood สามารถเติบโตได้สูงถึง 30-35 เมตร โดยเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นอาจมีขนาดตั้งแต่ 60-90 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง เปลือกมีสีน้ำตาลเข้มถึงเทา มีรอยแตกตื้นและเป็นคลื่น เมื่อตัดผิวของเปลือกออกจะพบว่าส่วนในมีสีแดงอ่อนถึงชมพู เมล็ดของ African Crabwood มีขนาดใหญ่และอุดมไปด้วยน้ำมัน โดยสามารถนำไปผลิตน้ำมัน Andiroba ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณและยังมีสรรพคุณทางยาในการรักษาอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวด

ประวัติศาสตร์ของ African Crabwood African Crabwood มีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นในแอฟริกาและอเมริกาใต้ มาตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวพื้นเมืองใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และสร้างที่อยู่อาศัย เนื่องจากความแข็งแรงและทนทานของไม้ ในทางการแพทย์พื้นบ้าน เมล็ดของ African Crabwood ถูกนำมาใช้ในการบำรุงสุขภาพ ทั้งการทานและการใช้น้ำมันทาภายนอก ชุมชนในแอมะซอนยังนิยมใช้ Andiroba oil ซึ่งสกัดจากเมล็ดของ African Crabwood ในการรักษาอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ ลดอาการคันจากแมลงกัดต่อย และยังใช้เป็นสารต้านเชื้อราและต้านเชื้อแบคทีเรีย

การใช้งานและประโยชน์ของ African Crabwood ไม้ African Crabwood มีเนื้อไม้ที่แข็งแรงและทนทาน ทำให้เป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ไม้กระดาน และการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีการสกัดน้ำมัน Andiroba จากเมล็ดไม้ชนิดนี้ ซึ่งเป็นที่นิยมในการผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สบู่ และเครื่องสำอาง Andiroba oil ยังมีสารประกอบทางชีวภาพที่มีสรรพคุณในการลดการอักเสบ บรรเทาปวด และใช้เป็นสารขับไล่แมลงตามธรรมชาติ

การอนุรักษ์และสถานะ CITES ปัจจุบัน African Crabwood ถูกคุกคามจากการตัดไม้ที่มากเกินไปในหลายภูมิภาค แม้จะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในบัญชีชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างเป็นทางการโดย CITES แต่มีการเรียกร้องให้จัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนเพื่อป้องกันการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว โครงการอนุรักษ์ในแอฟริกาตะวันตกได้เริ่มขึ้นในบางพื้นที่โดยการฟื้นฟูป่าและสนับสนุนการปลูกต้น African Crabwood ขึ้นใหม่ อีกทั้งการอนุรักษ์ยังรวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้กับชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้เห็นความสำคัญของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ในบราซิลและประเทศแถบแอมะซอน มีโครงการอนุรักษ์ Andiroba ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียก African Crabwood ในภาษาท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมัน Andiroba และไม้ African Crabwood สามารถนำมาใช้ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการค้าระหว่างประเทศยังถูกควบคุมอย่างเข้มงวด

บทสรุป African Crabwood หรือ Andiroba เป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนในหลายภูมิภาค ด้วยความทนทานของเนื้อไม้และประโยชน์ของน้ำมันจากเมล็ดที่มีคุณสมบัติทางยาจึงเป็นที่นิยมและเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และการบำรุงรักษาสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่านี้สูญหายไปจากสิ่งแวดล้อมในอนาคต

African black

ไม้ African Blackwood (หรือที่เรียกในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia melanoxylon) เป็นไม้ที่ถือว่ามีค่ามากที่สุดในโลก เพราะมีคุณสมบัติที่ทนทานและแข็งแรง อีกทั้งยังมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเนื้อไม้สีดำเข้ม มีความแข็งแรงคงทนและมันวาวที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเครื่องประดับคุณภาพสูง อย่างเช่นการทำเครื่องดนตรีประเภทเป่า (คลาริเน็ต โอโบ) เครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ African Blackwood ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่นิยมในหลายประเทศ อาทิ Grenadilla, Mozambique Ebony และ Mpingo

แหล่งที่มาของ African Blackwood African Blackwood พบมากในแอฟริกาตะวันออก โดยเฉพาะในประเทศแทนซาเนีย เคนยา โมซัมบิก และซิมบับเว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบแห้งและป่าที่เป็นไม้ทุ่งทนแล้ง (Dry Savanna) ต้น African Blackwood มีลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแห้งแล้งนี้อย่างมาก โดยมีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ดีแม้ในดินที่ขาดสารอาหาร นอกจากนี้ต้น African Blackwood ยังพบในป่าบางแห่งในภาคใต้ของแอฟริกา แต่ส่วนมากจะถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่แถบแอฟริกาตะวันออก

ขนาดของต้น African Blackwood ต้น African Blackwood เป็นไม้ยืนต้นที่สูงประมาณ 4-15 เมตร แม้ว่าต้นโตเต็มที่อาจจะสูงได้ถึง 20 เมตรก็ตาม ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตค่อนข้างช้า โดยอาจใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะโตเต็มที่ ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร โดยทั่วไปแล้วลำต้นของ African Blackwood จะมีเปลือกหนาและหยาบ สีดำเข้ม หรือน้ำตาลเข้ม มีความแข็งแรงและทนทานต่อการกัดกร่อนจากศัตรูพืช ทำให้เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงเหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรม

ประวัติศาสตร์ของ African Blackwood ต้น African Blackwood มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจมายาวนาน โดยถูกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวพื้นเมืองในแอฟริกาตะวันออกใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำอาวุธ, เครื่องมือการเกษตร และเครื่องประดับต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการนำ African Blackwood มาทำเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม และเมื่อการค้าระหว่างประเทศเริ่มเติบโต African Blackwood ก็ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งเป็นยุคที่มีการสร้างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ามากขึ้น

การอนุรักษ์และสถานะ CITES เนื่องจากการตัดไม้ African Blackwood เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมีมากขึ้น ทำให้จำนวนของต้นไม้ชนิดนี้ลดลงอย่างมาก จนปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพันธุ์พืชที่มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ โดย African Blackwood ได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพันธุ์พืชใกล้สูญพันธุ์ (CITES) โดยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีที่ 2 ของ CITES ซึ่งระบุถึงพืชและสัตว์ที่อาจเผชิญกับการสูญพันธุ์หากไม่ได้รับการควบคุมการค้าอย่างเหมาะสม

โครงการอนุรักษ์ African Blackwood จึงเริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบแอฟริกาตะวันออกที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดหลักของไม้ชนิดนี้ องค์กรต่าง ๆ ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นในการส่งเสริมการปลูกป่า การฟื้นฟูแหล่งที่อยู่ของไม้ African Blackwood รวมถึงสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินี้

บทสรุป ไม้ African Blackwood เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ด้วยคุณสมบัติของเนื้อไม้ที่แข็งแรง ทนทาน และสวยงาม ทำให้ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเครื่องประดับระดับสูง อย่างไรก็ตาม การตัดไม้ที่ไม่ควบคุมอาจทำให้ต้น African Blackwood ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว การอนุรักษ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าไม้ชนิดนี้จะยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและใช้งานต่อไปในอนาคต

อะ-ลัง-การ 7891 สรรค์สร้างเฟอร์นิเจอร์จากไม้แผ่นใหญ่

อะ -ลัง-การ 7891

อะ-ลัง-การ 7891 คือแบรนด์ที่มุ่งมั่นในการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จากไม้แผ่นใหญ่คุณภาพสูง ซึ่งมีความเฉพาะตัวและแตกต่างจากเฟอร์นิเจอร์ทั่วไปที่ใช้ไม้แผ่นเล็ก โดยเราใช้ไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อสร้างโต๊ะไม้แผ่นใหญ่และเฟอร์นิเจอร์ที่มีความงดงามจากธรรมชาติอย่างแท้จริง

ไม้ที่เรานำเข้ามาเป็นไม้ที่มีความแข็งแรง ทนทาน และมีลวดลายที่สวยงาม ทำให้โต๊ะไม้แผ่นใหญ่ที่ผลิตขึ้นมามีเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร ทุกชิ้นงานที่เราผลิตจากไม้แผ่นใหญ่ จะได้รับการดูแลอย่างดีในกระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพสูงสุด

เราภูมิใจในสินค้าของเรา โดยเฉพาะโต๊ะไม้แผ่นใหญ่ ที่เป็นจุดเด่นของแบรนด์ ไม้แผ่นใหญ่ที่เรานำเข้ามาไม่เพียงแต่ช่วยให้เฟอร์นิเจอร์มีความงามและทนทาน แต่ยังช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นธรรมชาติในบ้านของคุณ โต๊ะไม้แผ่นใหญ่ของเรายังสามารถใช้งานได้หลายปี และมีความทนทานที่ไม่เปลี่ยนแปลง

การเลือกไม้แผ่นใหญ่ที่นำเข้ามาใช้ในผลิตภัณฑ์ของเรา เป็นการตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังมีคุณสมบัติที่ดี เช่น ความทนทาน ความแข็งแรง และความเป็นธรรมชาติของไม้ ที่สามารถช่วยเสริมสร้างความสงบและความสุขให้กับบ้านของคุณ

Abura

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ Abura

ไม้ Abura หรือที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Triplochiton scleroxylon เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่เขตร้อนของแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศไนจีเรีย, กานา, และโกตดิวัวร์ เป็นไม้ที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ป่าไม้ที่มีความชื้นสูง ไม้ชนิดนี้ได้รับการยอมรับในวงการไม้ทั่วโลกเนื่องจากคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมทั้งในด้านความแข็งแรงและความทนทาน ไม้ Abura ถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์, การสร้างบ้าน, และการผลิตวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ไม่ค่อยเสื่อมสภาพและทนทานต่อความชื้น ทำให้มีความต้องการในตลาดไม้ทั่วโลก

ขนาดของต้น Abura

ต้นไม้ Abura สามารถเติบโตได้ถึงความสูงประมาณ 40-50 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นอาจถึง 2 เมตร เมื่อโตเต็มที่ ลำต้นมีลักษณะตรงและค่อนข้างสูง ทำให้เหมาะสมสำหรับการตัดเป็นไม้แผ่นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดไม้ที่ต้องการไม้แผ่นขนาดใหญ่สำหรับใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์หรือการก่อสร้าง ไม้ Abura มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงและแสงแดดเต็มที่

ประวัติศาสตร์ของไม้ Abura

ไม้ Abura เริ่มได้รับความสนใจในวงการการค้าไม้ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อการค้าไม้จากแอฟริกาไปยังยุโรปเริ่มเติบโตขึ้น ชื่อเสียงของไม้ Abura ในด้านคุณสมบัติการใช้งานที่หลากหลาย ทำให้มันกลายเป็นไม้ที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์และการสร้างอาคาร ในยุคต่อมา ไม้ Abura ยังได้รับการนำเข้ามายังประเทศต่างๆ เพื่อใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการตกแต่งภายใน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศร้อนชื้นและไม่เสื่อมสภาพเร็ว

การอนุรักษ์ไม้ Abura

ไม้ Abura เป็นหนึ่งในไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดในหลายประเทศเนื่องจากการเก็บเกี่ยวไม้ชนิดนี้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศในป่าไม้เขตร้อน การอนุรักษ์ไม้ Abura เป็นเรื่องสำคัญที่ได้รับความสนใจจากองค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและรัฐบาลในหลายประเทศ การอนุรักษ์ไม้ Abura สามารถทำได้โดยการพัฒนาการเก็บเกี่ยวไม้ในระบบที่ยั่งยืน เช่น การปลูกต้นไม้ทดแทนหลังจากการตัดไม้ การควบคุมการค้าขายไม้ Abura อย่างเคร่งครัด และการส่งเสริมการใช้ไม้จากแหล่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการอนุรักษ์

สถานะของไม้ Abura ในไซเตส (CITES)

ไม้ Abura ยังอยู่ในรายชื่อของไม้ที่ถูกควบคุมโดย Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora หรือ CITES ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการค้าสัตว์ป่าและพืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แม้ว่าไม้ Abura จะไม่อยู่ในรายชื่อ "ไม้ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์" อย่างเต็มรูปแบบ แต่การควบคุมการค้าขายไม้ Abura ยังถือเป็นการทำงานเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ที่มีคุณค่า คำแนะนำจาก CITES มักจะมุ่งเน้นให้ประเทศต่าง ๆ ใช้มาตรการในการควบคุมการค้าขายไม้ชนิดนี้อย่างเข้มงวด เพื่อให้การใช้งานไม้ Abura เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

Afata

ไม้ Afata เป็นไม้ที่มีเอกลักษณ์และความสวยงามเฉพาะตัวที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจและนำมาใช้ประโยชน์หลากหลาย มีการนำมาใช้ในงานตกแต่ง งานเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงงานศิลปะในหลากหลายวัฒนธรรม ไม้ Afata จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการออกแบบภายใน แต่ไม้ชนิดนี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการอนุรักษ์และการถูกจัดอยู่ในสถานะไซเตส ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับไม้ Afata ให้มากขึ้น ตั้งแต่ชื่อเรียกอื่นๆ ของมัน แหล่งต้นกำเนิด ไปจนถึงสถานะการอนุรักษ์ในปัจจุบัน

ชื่อเรียกอื่นของไม้ Afata

ไม้ Afata เป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อขึ้นอยู่กับภูมิภาคและวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งบางชื่อที่นิยมใช้กันได้แก่

  • ไม้สัก Afata (Afata Teak) - เนื่องจากลักษณะคล้ายกับไม้สัก
  • ไม้อามาทา (Amata Wood) - ชื่อที่เรียกในบางชุมชนท้องถิ่นในเอเชีย
  • ไม้ตะวันออก Afata (Eastern Afata) - ในบางประเทศตะวันตกเรียกเช่นนี้เพื่อระบุแหล่งที่มา

การมีชื่อหลากหลายทำให้ไม้ Afata ถูกจดจำและมีอิทธิพลในวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

 

แหล่งต้นกำเนิดของไม้ Afata

ไม้ Afata มีแหล่งต้นกำเนิดอยู่ในพื้นที่เขตร้อนชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว และกัมพูชา เป็นป่าไม้เขตร้อนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมและส่งเสริมการเติบโตของไม้ Afata อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ได้ทำให้พื้นที่ป่าไม้ Afata ลดลงในหลายภูมิภาค แม้ในบางประเทศยังคงมีการปลูกป่าไม้ Afata เพื่อการค้า แต่การอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าธรรมชาติยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

ขนาดของต้นไม้ Afata

ไม้ Afata เป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ต้นสูงถึงประมาณ 25-30 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นราว 1-1.5 เมตร ลำต้นของไม้ Afata มีลักษณะตรงและหนาแน่น ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมากในงานตกแต่งและอุตสาหกรรมไม้ต่าง ๆ เปลือกของไม้ Afata มีสีที่เข้มและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักจะเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เติบโต นอกจากนี้ ความทนทานของไม้ Afata ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ได้รับความนิยม

ประวัติศาสตร์ของไม้ Afata

ประวัติศาสตร์ของไม้ Afata สามารถย้อนไปได้หลายร้อยปี ชนพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้ประโยชน์จากไม้ Afata ในการสร้างบ้าน สะพาน และเฟอร์นิเจอร์ ไม้ Afata ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความมั่นคง มีการค้าขายและแลกเปลี่ยนไม้ Afata ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม้ Afata กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในตลาดโลก

ในช่วงยุคอาณานิคม ไม้ Afata ถูกนำเข้ามาในยุโรปและอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างมากในวงการตกแต่งและสถาปัตยกรรม ต่อมา ไม้ Afata ได้รับความสนใจในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลก เช่นเดียวกับไม้สัก และไม้พยุง

การอนุรักษ์ไม้ Afata

เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าและการใช้งานในอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น ความหลากหลายของไม้ Afata ในธรรมชาติได้ลดลงอย่างมาก รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องได้พยายามสร้างมาตรการการอนุรักษ์ เช่น การกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ และการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาป่าไม้ นอกจากนี้ มีการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดในหลายประเทศเพื่อควบคุมการตัดไม้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของไม้ Afata

สถานะ CITES ของไม้ Afata

ไม้ Afata ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชี CITES ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการค้าสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ CITES ได้กำหนดให้ไม้ Afata อยู่ในบัญชีไซเตสประเภทที่ 2 ซึ่งหมายความว่าต้องมีการตรวจสอบและควบคุมการส่งออกเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ แต่ไม่ถึงกับต้องห้ามการค้าขายโดยสิ้นเชิง การดำเนินการนี้ช่วยสร้างความตระหนักรู้และป้องกันการลักลอบค้าไม้จากป่าไม้ธรรมชาติ

Makha

ไม้มะค่า (Afzelia xylocarpa) ไม้มะค่าถือเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีมูลค่าสูงและหายากในปัจจุบัน เพราะนอกจากความทนทานและแข็งแรงแล้ว ยังมีจุดเด่นที่โดดเด่นในด้านความสวยงามของลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะยิ่งสวยงามขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยไม้มะค่าจะมีเนื้อไม้แน่นและหนัก มีลวดลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อขัดเงา สีจะดูอบอุ่นมีเสน่ห์ และลายไม้จะดูมีมิติ ซึ่งทำให้เหมาะกับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสวยงามและความคงทน

ไม้มะค่ายังเป็นไม้ที่มีความนิยมและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว และกัมพูชา เพราะมีลักษณะเด่นทั้งในด้านความสวยงาม ความทนทาน และคุณสมบัติทางเทคนิคที่เหมาะสมกับการใช้งานหลากหลายชนิด

ไม้มะค่ามีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นไม้ที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

1. ความแข็งแรงและทนทาน

  • ไม้มะค่าเป็นไม้เนื้อแข็ง มีความแข็งแรงมาก ทนทานต่อแรงกด แรงดึง และการกระแทกสูง จึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี
  • มีความทนทานต่อสภาพอากาศและความชื้นสูง ทำให้เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องการความคงทน รวมถึงใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก

2. ทนต่อแมลงและเชื้อรา

  • ไม้มะค่ามีความต้านทานต่อปลวกและมอดได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงกัดกินหรือเชื้อราที่มักเกิดกับไม้ทั่วไป

3. ลวดลายและสีสันสวยงาม

  • ไม้มะค่ามีลวดลายที่สวยงาม มีเส้นลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีสีตั้งแต่เหลืองอมน้ำตาลไปจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม ซึ่งเป็นสีที่มีเอกลักษณ์และให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้เหมาะกับงานตกแต่งภายใน
  • เมื่อขัดเงาจะมีความเงางามและลวดลายโดดเด่นขึ้นมา เพิ่มความหรูหราให้กับงานเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้

4. ง่ายต่อการขัดเงาและเคลือบผิว

  • ไม้มะค่ามีเนื้อไม้ที่ขัดเงาได้ง่าย ทำให้สามารถเพิ่มความเงางามและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี
  • สามารถเคลือบผิวได้ง่ายด้วยน้ำยาเคลือบหลากหลายชนิด ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

5. น้ำหนักและความหนาแน่นสูง

  • ไม้มะค่ามีความหนาแน่นและน้ำหนักมาก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการใช้งานที่ต้องการความคงทนและแข็งแรง
  • ความหนาแน่นนี้ยังช่วยให้ไม้มะค่ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แม้ต้องเผชิญกับการใช้งานหนักหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

6. มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและหายาก

  • ด้วยความแข็งแรงและความสวยงามที่โดดเด่น ไม้มะค่าจึงมีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการในตลาด ทำให้เป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
  • ปัจจุบันไม้มะค่าเริ่มหายากขึ้น เนื่องจากการตัดไม้เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไม้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การใช้งาน

  • เฟอร์นิเจอร์: ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ เนื่องจากมีความสวยงามและทนทาน
  • งานก่อสร้าง: สามารถใช้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างบ้าน เช่น เสาไม้และพื้นไม้ เนื่องจากมีความแข็งแรงสูง
  • งานแกะสลัก: เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงาม ทำให้ไม้มะค่าเป็นที่นิยมสำหรับงานแกะสลักและงานตกแต่ง

การดูแลรักษา

ไม้มะค่าควรได้รับการรักษาความชื้นและการเคลือบผิวเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนและรอยด่าง และหากอยู่ในที่แห้งควรหลีกเลี่ยงความชื้นมากเกินไปเพื่อรักษาสีและลายให้คงอยู่ได้นาน

คุณสมบัติโดดเด่น

  • เป็นไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม
  • มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและแมลงศัตรูไม้
  • มีเนื้อไม้แข็งแรง ใช้งานได้หลากหลาย

 

ชื่อสามัญ: Makha Wood, Maka, Afzelia Burl, Burl Wood

ชื่อวิทยาศาสตร์: Afzelia xylocarpa

ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า

ความสูงลำต้น: 85 ฟุต - 130 ฟุต (26  - 40 เมตร)

เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น: 6.5 ฟุต (2 เมตร)

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย: 51.5 lbf/ft3 (825 kg/m3 )

ความถ่วงเฉพาะ: 12% Mc

ความแข็ง (Janka):  1,980 lbf (8,820 N)

โมดูลัสของการแตกร้าว: 17,210 lbf/in2 (118.7 Mpa)

โมดูลัสยืดหยุ่น:  1,939,000 lbf/in2 (13.37 Gpa)

แรงอัด:  9,960 lbf/in2 (68.7 Mpa)

Lignum vitae

ไม้ Lignum vitae (อ่านว่า "ลิกนัม ไวตี้") หรือ “แก้วเจ้าจอม” มีชื่อสามัญว่า Lignum Vitae ในภาษาละตินแปลว่า “ไม้แห่งชีวิต” แม้แก้วเจ้าจอมจะเป็นไม้ต่างถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะเวสต์อินดีส เป็นหนึ่งในไม้ที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดในโลกจนสามารถ จมน้ำได้ ซึ่งหาได้ยากสำหรับไม้ทั่วไป เพราะไม้มักลอยน้ำตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ลิกนัมไวตี้ยังมีความพิเศษมากด้วยน้ำมันตามธรรมชาติที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ ทำให้มันมีคุณสมบัติ ทนต่อการเสียดสีและความชื้น สูงมาก

ไม้ Lignum vitae (จากพืชสกุล Guaiacum) มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการที่ทำให้มันแตกต่างจากไม้ชนิดอื่น:

1. ความหนาแน่นและความแข็งแรง

  • Lignum vitae ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่หนักที่สุดในโลก ด้วยความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 1,230–1,370 กก./ลูกบาศก์เมตร ซึ่งหมายความว่ามันสามารถจมน้ำได้ เนื่องจากมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ​
  • ค่าความแข็ง (Janka Hardness) อยู่ที่ประมาณ 4,500–5,000 ปอนด์ฟอร์ซ (lbf) ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานของไม้ทั่วไปอย่างมาก ทำให้ทนต่อการสึกหรอได้ดีมาก​

2. การหล่อลื่นในตัวเอง

  • เนื้อไม้มีน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นภายนอกในการใช้งานบางประเภท เช่น แบริ่งของเพลือกเรือหรือเครื่องจักร​
    คุณสมบัตินี้ช่วยให้ Lignum vitae ทนทานต่อการใช้งานหนักในสภาวะที่ต้องเสียดสีสูง

3. ความทนทานต่อการผุกร่อนและแมลง

  • ด้วยน้ำมันธรรมชาติและความหนาแน่นสูง ทำให้ Lignum vitae ทนต่อแมลงและการผุกร่อนได้ดี ไม่จำเป็นต้องผ่านการอบหรือการรักษาด้วยสารเคมีเพิ่มเติม​

4. การใช้งานทางอุตสาหกรรม

  • ในอดีต Lignum vitae ถูกใช้เป็นแบริ่งสำหรับเรือเดินทะเล เนื่องจากสามารถรับแรงกระแทกได้ดีและไม่เสียหายแม้แช่ในน้ำทะเลนาน ๆ​ นอกจากนี้ยังถูกใช้ทำบูช (bushings) ในกังหันไอน้ำและในอุตสาหกรรมเครื่องจักรต่าง ๆ

5. โครงสร้างทางกายภาพ

  • เนื้อไม้มีลายไม้ที่ละเอียดและซับซ้อน และเนื่องจากมีสีเขียวเข้มจนถึงน้ำตาลเข้ม ทำให้มักถูกนำไปใช้ในการแกะสลักเครื่องประดับ หรือทำด้ามเครื่องมือและอุปกรณ์ดนตรี
placeholder image
placeholder image

ชื่อสามัญ : ลิกนัมไวแท, พาโลซันโต, กวายาคาน, ฮอลีวูด, ลิกนัมไวแทแท้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Guaiacum officinale และ G. sanctum

การกระจายพันธุ์ : อเมริกากลางและตอนเหนือของอเมริกาใต้

ขนาดของต้น : สูง 20-30 ฟุต (6-10 เมตร) เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-2 ฟุต (0.3-0.6 เมตร)

น้ำหนักเฉลี่ย (เมื่อแห้ง) : 78.5 ปอนด์/ฟุต³ (1,260 กก./ม³)

ความถ่วงจำเพาะ (พื้นฐาน, ความชื้น 12%) : 1.05, 1.26

ค่าความแข็ง Janka : 4,390 ปอนด์แรง (19,510 นิวตัน)

โมดูลัสของการแตกหัก (MOR) : 17,970 ปอนด์แรง/นิ้ว² (123.9 MPa)

โมดูลัสของความยืดหยุ่น (MOE) : 2,481,000 ปอนด์แรง/นิ้ว² (17.11 GPa)

ค่าความแข็งแรงในการบดอัด : 12,380 ปอนด์แรง/นิ้ว² (85.4 MPa)

การหดตัว:

  • รัศมี: 5.3%
  • แนวสัมผัส: 8.7%
  • ปริมาตรรวม: 14.0%
  • อัตราส่วน T/R: 1.6

Bristlecone pine

Bristlecone Pine (Pinus longaeva) เป็นต้นไม้ที่มีอายุนานที่สุดในโลก มีอายุมากกว่า 4,000 ปี ต้นไม้ชนิดนี้มักพบในพื้นที่สูงในภูเขา Sierra Nevada ของรัฐแคลิฟอร์เนียและในบางส่วนของรัฐเนวาดาและยูทาห์

Bristlecone Pine (Pinus longaeva) เป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญในเชิงวิชาการ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาเกี่ยวกับภูมิอากาศและระบบนิเวศ นี่คือข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับ Bristlecone Pine:

การแพร่กระจาย

Bristlecone Pine มักพบในภูมิประเทศที่สูง (สูงกว่า 2,500 เมตร) ในพื้นที่แห้งแล้ง เช่น ภูเขา Sierra Nevada ของแคลิฟอร์เนีย และพื้นที่อื่นๆ ในรัฐเนวาดาและยูทาห์

อายุยืน

Bristlecone Pine เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก โดยมีการบันทึกว่าต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดมีอายุมากกว่า 4,800 ปี การศึกษาเกี่ยวกับอายุของ Bristlecone Pine ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอดีตได้

บทบาทในระบบนิเวศ

  • ระบบนิเวศ: Bristlecone Pine มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศที่มีสภาพแห้งแล้ง โดยให้ที่พักอาศัยและอาหารแก่สัตว์ป่า
  • การศึกษาภูมิอากาศ: วงแหวนของการเจริญเติบโตของ Bristlecone Pine สามารถบ่งบอกถึงสภาพภูมิอากาศในอดีตได้ นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลนี้ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinus longaeva

วงศ์ : Pinaceae (วงศ์สน)

สูงประมาณ : 15–20 เมตร (50–66 ฟุต)

เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ : 0.5–1.5 เมตร (1.5–5 ฟุต)

เปลือก : เปลือกหนาและแตกเป็นแนวขวาง มีสีเทาหรือสีน้ำตาล

ใบ : เป็นใบเข็มยาวประมาณ 2–5 นิ้ว (5–13 ซม.) มีลักษณะเรียวและแข็ง ใบมักจะมีสีเขียวเข้มและมักจะเป็นคู่หรือกลุ่มสามใบ

อัตราการเจริญเติบโต : เจริญเติบโตช้ามาก โดยเฉลี่ยประมาณ 1–3 ซม. ต่อปีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

อายุ : สามารถมีอายุได้มากถึง 4,800 ปี ทำให้เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก
ถิ่นกำเนิด : พบได้ในพื้นที่หินและดินที่ไม่สมบูรณ์ในภูเขา ไวโอมิง และ แคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกา

สภาพแวดล้อม : เจริญเติบโตในสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งและมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,700–4,300 เมตร (8,800–14,100 ฟุต)

Angelique

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

 

คุณสมบัติและข้อมูลสำคัญ

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

1. แหล่งที่มาของไม้ Angelique
ไม้ Angelique มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบชื้นของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศอย่าง กายอานา บราซิล และเวเนซุเอลา ทำให้เป็นไม้ที่เติบโตในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ส่งผลให้ไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

2. ลักษณะเนื้อไม้
เนื้อไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีโครงสร้างหนาแน่น สีเนื้อไม้มีตั้งแต่สีน้ำตาลอมแดงไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มีความมันวาวตามธรรมชาติเมื่อขัดเงา ซึ่งช่วยเสริมความหรูหราและเพิ่มความทนทานของเนื้อไม้

3. ลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์
ไม้ Angelique มีลวดลายสามมิติที่เป็นธรรมชาติ ดูราวกับภาพภูเขาสูงตระหง่าน ลวดลายมีทั้งเส้นตรงและเส้นโค้งที่คดเคี้ยวเล็กน้อย สลับกับเงาเข้มและอ่อนอย่างลงตัว เป็นไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน

 

4. ความทนทานสูงและการใช้งานภายนอก
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ไม้ Angelique สามารถใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์สนาม รั้วไม้ โครงสร้างอาคาร หรือแม้แต่พื้นภายนอกบ้าน เพราะทนต่อความชื้นและเชื้อรา

5. ป้องกันแมลงตามธรรมชาติ
ไม้ Angelique มีคุณสมบัติป้องกันแมลงตามธรรมชาติ เนื่องจากมีสารเคมีตามธรรมชาติในเนื้อไม้ที่ทำให้แมลงไม่ชอบ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการไม้ที่ไม่ต้องใช้สารเคลือบเพื่อป้องกันแมลง

6. สีสันที่เป็นธรรมชาติและโดดเด่น
สีของไม้ Angelique อยู่ในโทนน้ำตาลอมเหลืองไปจนถึงน้ำตาลแดง สร้างความอบอุ่นและเป็นมิตรต่อสายตา เหมาะสำหรับการตกแต่งทั้งแบบคลาสสิกและสมัยใหม่ สีที่ได้จากธรรมชาตินี้ช่วยให้ไม้ดูสดใสและเพิ่มเสน่ห์ให้กับทุกพื้นที่

7. เหมาะสำหรับการตกแต่งหลากหลายสไตล์
ไม้ Angelique สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หลากหลายรูปแบบ เช่น โต๊ะกลาง เคาน์เตอร์ ชั้นวางของ และงานตกแต่งผนัง ทั้งยังสามารถนำไปทำชิ้นงานขนาดใหญ่ได้ดี เนื่องจากมีขนาดที่กว้างและยาว มอบความหรูหราและน่าสนใจในทุกพื้นที่

8. เพิ่มมูลค่าทางศิลปะและพลังแห่งธรรมชาติ
ลวดลายที่สวยงามของไม้ Angelique ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ ผสมผสานความสวยงามและความทนทานอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าไม้ที่มีลายคล้ายภูเขานี้นำพลังบวกและเสริมความสำเร็จแก่ผู้ครอบครอง

9. อายุการใช้งานที่ยาวนานและคุ้มค่า
ไม้ Angelique มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ผุกร่อนง่าย จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ใช้งานได้หลายสิบปีและมีความทนทานต่อสภาพอากาศมากกว่าไม้ชนิดอื่นๆ

10. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้ไม้ Angelique ซึ่งเป็นไม้ที่มีอายุการใช้งานยาวนานและไม่ต้องการการดูแลซ้ำซ้อน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม้ที่มีความทนทานสูงทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมบ่อย ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

Family FABACEAE-CAESALPINIOIDEAE (angiosperm)
Scientific name(s) Synonymous CITES: IUCN:
Dicorynia guianensis
Dicorynia paraensis
Not listed NE

ชื่อท้องถิ่น

ATIBT Pilot Name
Basralocus
Brazil
Angelica Do Para
Brazil
Basralocus
Brazil
Tapaiuna
French Guiana
Angelique
Suriname
Barakaroeballi
Suriname
Basralokus
China
圭亚那双柱苏木

ลักษณะทางกายภาพ

Grain Straight
Interlocked Grain Absent
Sapwood Clearly demarcated
Texture Medium
Typical Color Brown

คำอธิบายทางกายภาพ

Crushing Strength 70 MPa +/- 3
Specific Gravity (at 12% MC) 0.79 g/cm3 +/- 0.05
Stability Moderately stable
Static bending strength 121 MPa +/- 46

ข้อมูลเชิงเทคนิค

สี: สีน้ำตาลแดงถึงน้ำตาลแดงหรือเหลือง
ขนาดลำต้น: 30 – 45 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น : 60 – 90 เซ็นติเมตร
ค่าความแข็ง Janka  : 1,270 ปอนด์ (หรือประมาณ 5,650 นิวตัน)
แรงอัด (Mpa แห้ง) : 67 – 73 Mpa
ความถ่วงจำเพาะ : 0.74 – 0.84
ความหนาแน่น(kg/m3 dry): 1.08 กก./ลบ.ม.

Quina

ชื่อสามัญ:  Quina

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Myroxylon peruiferum

การกระจายพันธุ์: เม็กซิโกตอนใต้และอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ขนาดต้นไม้:  สูง 65-100 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง:  2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:   58 lbf/ft3 (930 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.77, 0.93

ความแข็ง :   2,200 lbf (9,790 N)

การแตกหัก : 22,770 lbf/in2 (157.0 Mpa)

การยืดหยุ่น:  2,430,000 lbf/in2 (16.76 Gpa)

แรงอัดแตก:  12,250 lbf/in2 (84.5 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 3.8%, Tangential: 6.2%, Volumetric: 10.0%, T/R Ratio: 1.6

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ:  ไม้ Quina มีความแปรผันของสีในระดับที่พอเหมาะ ตั้งแต่สีน้ำตาลทองอ่อนไปจนถึงสีแดงอมม่วงเข้มหรือสีแดงเบอร์กันดี สีมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง/ม่วงมากขึ้นตามอายุ ส่วนไม้ผ่าสี่สามารถแสดงรูปแบบลายทางหรือริบบิ้น

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:  เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนสนโดยมีผิวสัมผัสเนื้อไม้หยาบปานกลางถึงละเอียด และมีรูพรุนของเนื้อไม้ขนาดปานกลาง

ความทนทาน: ได้รับการจัดอันดับว่ามีความคงทนมากในแง่ของความต้านทานการผุกร่อน และไวต่อการรุกรานของแมลง

ความสามารถในการใช้:  ไม้Quina มีผลทื่อต่อใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะการทำงานได้รับการจัดอันดับว่าดีระดับนึงถึงแย่ เนื่องจากทั้งความหนาแน่นและเสี้ยนเนื้อไม้ที่เป็นเสี้ยนสน บางครั้งการย้อมสีหรือติดกาวอาจเป็นปัญหาได้ แม้ว่าไม้จะใช้งานได้ดีก็ตาม

กลิ่น: ไม้Quina  มีกลิ่นเผ็ดที่โดดเด่นมากเมื่อทำงาน ต้นไม้จากสกุล Myroxylon ใช้ทำยาหม่องของประเทศเปรู ซึ่งเป็นส่วนผสมในน้ำหอม

การแพ้/ความเป็นพิษ:  ไม้Quina  ได้รับรายงานว่าทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ  ดูบทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่:  ควรอยู่ในช่วงกลางสำหรับไม้ที่นำเข้า เปรียบเทียบกับไม้เนื้อแข็งแปลกใหม่อื่น ๆ ที่ใช้ในการปูพื้นเช่น ไม้ Ipe

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List )

การใช้งานทั่วไป:  ปูพื้น เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายใน โครงสร้างหนัก และงานกลึง


อ้างอิง
Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/quina/

หน้าหลัก เมนู แชร์