Very Durable - อะ-ลัง-การ 7891

Very Durable

Argentin Osage orange

ไม้ Argentin Osage Orange (ชื่อวิทยาศาสตร์ Maclura pomifera) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Osage Orange" หรือ "Bodark" เป็นไม้ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งในแง่ของการใช้ประโยชน์จากไม้เนื้อแข็งและการนำมาใช้ในงานก่อสร้าง รวมถึงคุณสมบัติในการป้องกันแมลงและโรคต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและบางประเทศในอเมริกาใต้ ไม้ชนิดนี้มีชื่ออื่นๆ ที่เป็นที่รู้จักกัน เช่น "Hedge Apple" และ "Monkey Ball" เป็นต้น

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ Argentin Osage Orange

ต้นไม้ Maclura pomifera มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในเขตที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐอาร์คันซอ, โอคลาโฮมา, เท็กซัส และแถบมิดเวสต์ ไม้ชนิดนี้ได้รับชื่อเรียกจากแม่น้ำโอเซจ (Osage River) ซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดของต้นไม้ และกลายเป็นไม้ที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ
ในยุคแรก ๆ ผู้คนในพื้นที่ได้เริ่มใช้ไม้ Osage Orange ในการสร้างรั้วและกำแพงเนื่องจากไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและสามารถทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี นอกจากนี้ ผลของต้นไม้ยังมีลักษณะคล้ายกับผลส้ม แต่มีขนาดใหญ่และเปลือกแข็ง ทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับชื่อ "Hedge Apple" จากลักษณะการใช้ไม้เพื่อสร้างกำแพงกันสัตว์และการทำสวนที่ปลอดภัย

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงสูง มีความทนทานต่อการผุกร่อนและแมลง เนื้อไม้มีสีเหลืองทองหรือส้มอมเหลือง ซึ่งเมื่อผ่านการใช้งานและสัมผัสกับอากาศและแสงแดดจะมีการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้ม ไม้ชนิดนี้มักมีลักษณะของกิ่งที่แข็งแรงและทนทาน มีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยเฉพาะในดินที่ไม่ดีหรือพื้นที่ที่แห้งแล้ง ต้น Osage Orange สามารถเติบโตได้ถึง 12-20 เมตรในความสูง และลำต้นสามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 1 เมตร เมื่อมีอายุมากพอ ลักษณะใบของต้นไม้มีรูปใบใหญ่และหนาแน่น เป็นสีเขียวเข้ม มีรอยหยักขอบใบเล็กน้อย ในขณะที่ผลของมันมีลักษณะกลมใหญ่และมีเปลือกหนาแข็ง เปลือกผลจะมีลักษณะเป็นหยัก ๆ และมีกลิ่นที่แรง ซึ่งทำให้มันไม่เป็นที่นิยมในด้านการรับประทาน

ประวัติศาสตร์ของไม้ Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange ได้รับการยอมรับและใช้ประโยชน์ในวงกว้างมาตั้งแต่สมัยก่อนสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความแข็งแรงและทนทานของเนื้อไม้ จึงมักถูกนำมาใช้ในการสร้างรั้วและกำแพงเพื่อกันสัตว์และป้องกันการบุกรุกจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีพื้นที่กว้างและต้องการกำแพงที่แข็งแรง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไม้ Osage Orange ได้รับความนิยมในเชิงการค้า โดยเฉพาะในการผลิตเสาไฟฟ้า รั้วไม้ และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เนื่องจากการทนทานและราคาที่ไม่แพงเกินไป แม้ว่าจะไม่ค่อยพบเห็นในตลาดไม้ทั่วโลก แต่ก็ยังคงมีการใช้งานในบางประเทศที่มีความต้องการไม้เนื้อแข็ง

การอนุรักษ์และสถานะ CITES ของไม้ Argentin Osage Orange

แม้ว่าต้นไม้ Maclura pomifera หรือ Argentin Osage Orange จะไม่อยู่ในสถานะที่ใกล้สูญพันธุ์หรือได้รับการคุ้มครองจาก CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศในสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) แต่การอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีการดูแลอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การใช้ไม้ Osage Orange ยังต้องได้รับการควบคุมอย่างเคร่งครัดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตที่มีความเสี่ยงต่อการตัดไม้ทำลายป่าในรูปแบบที่ไม่ยั่งยืน การอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องพื้นที่ธรรมชาติของไม้ชนิดนี้

การใช้งานไม้ Argentin Osage Orange

ไม้ Argentin Osage Orange ได้รับความนิยมในหลายประเภทของงาน เช่น การผลิตรั้วไม้ การสร้างเสาไฟฟ้า และวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ เนื่องจากความแข็งแรงและทนทานต่อการผุกร่อน นอกจากนี้ ยังมีการใช้งานในด้านการทำเครื่องมือเกษตร เนื่องจากความทนทานต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ไม้ Osage Orange ยังได้รับความนิยมในการทำเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง เนื่องจากสีของไม้ที่สวยงามและเนื้อไม้ที่ทนทาน การทำงานกับไม้ชนิดนี้สามารถสร้างชิ้นงานที่มีความคงทนและมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้มันเป็นที่นิยมในงานฝีมือและการตกแต่งภายใน

การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การใช้ไม้ Argentin Osage Orange ควรมีการจัดการที่มีความยั่งยืน โดยการปลูกไม้ใหม่ทดแทนไม้ที่ถูกตัดไป และควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ไม่เกินกำหนด เพื่อรักษาสมดุลในธรรมชาติและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากรในปัจจุบันควรคำนึงถึงการลดการตัดไม้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้งานไม้ชนิดนี้สามารถยั่งยืนและยังคงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าต่อไป

Andaman Padauk

ไม้อันดามันพะยูง (Andaman Padauk) เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีลวดลายและสีสันอันโดดเด่นจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ช่างไม้และผู้หลงใหลในไม้มีค่าทางเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Pterocarpus dalbergioides และเป็นที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น “ไม้พะยูงแดง” หรือ "ไม้พะยูงอันดามัน" เนื่องจากมีสีแดงเข้มและลายเส้นสวยงาม รวมถึงการเจริญเติบโตในพื้นที่หมู่เกาะอันดามันซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญ

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด
ไม้อันดามันพะยูงมีต้นกำเนิดในเขตหมู่เกาะอันดามัน ซึ่งอยู่ระหว่างประเทศอินเดียและเมียนมาร์ นอกจากนี้ยังพบได้ในบางส่วนของพม่า ไม้ชนิดนี้ชื่นชอบสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นและชื้นจากเขตป่าดงดิบ ทำให้มีการเจริญเติบโตดีในพื้นที่เกาะใกล้ทะเล โดยทั่วไปแล้วจะมีการจัดเก็บไม้อันดามันพะยูงจากป่าธรรมชาติ แต่มีความพยายามในการปลูกเพื่อการอนุรักษ์และการใช้งานอย่างยั่งยืนเช่นกัน

ลักษณะทางกายภาพและขนาดของต้น Andaman Padauk
ไม้อันดามันพะยูงเป็นไม้ขนาดใหญ่ โดยทั่วไปต้นไม้ชนิดนี้มีความสูงได้ถึง 20–30 เมตร และบางครั้งอาจสูงถึง 40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 1–2 เมตร เปลือกของต้นมีสีเทาอมแดง เนื้อไม้มีความแข็งและแน่น มีสีแดงเข้มถึงสีน้ำตาลส้ม ทำให้ไม้ชนิดนี้มีสีสันที่งดงามเมื่อผ่านการขัดเงา ไม้อันดามันพะยูงยังเป็นที่ชื่นชอบของช่างไม้เพราะลายเส้นที่ละเอียดสวยงาม ซึ่งเหมาะสำหรับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ชั้นสูง

ประวัติของไม้อันดามันพะยูง
ไม้อันดามันพะยูงมีประวัติการใช้งานมายาวนานในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยเฉพาะในอินเดียและประเทศเพื่อนบ้าน ไม้ชนิดนี้มักถูกนำมาใช้ในงานแกะสลักและผลิตเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมียม ซึ่งมีความคงทนและงดงาม คนพื้นเมืองในอินเดียและพม่ามักนำไม้อันดามันพะยูงมาใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือนและทำอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการความแข็งแรง นอกจากนี้ ไม้ชนิดนี้ยังมีความสำคัญในแง่ของวัฒนธรรมและความเชื่อ เช่น การใช้ในศาสนสถานหรือเครื่องบูชา ไม้อันดามันพะยูงได้รับการยกย่องให้เป็นไม้มีค่าหายากซึ่งมีคุณค่าไม่เพียงแค่ด้านการใช้สอย แต่ยังเป็นที่นิยมในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมด้วย

การอนุรักษ์และสถานะ CITES
ไม้อันดามันพะยูงเป็นไม้ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากการตัดไม้ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้ไม้ชนิดนี้อยู่ในรายชื่อของอนุสัญญา CITES ภายใต้ภาคผนวกที่ II ซึ่งหมายถึงการควบคุมการค้าเพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกอย่างไม่ยั่งยืน เพื่อปกป้องไม้อันดามันพะยูง การจัดการทรัพยากรและการอนุรักษ์แหล่งกำเนิดธรรมชาติเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่น การปลูกป่าทดแทนและการตรวจสอบการทำลายป่าที่ผิดกฎหมาย หน่วยงานต่าง ๆ ในหลายประเทศพยายามจัดตั้งโครงการฟื้นฟูและการปลูกป่าอันดามันพะยูงอย่างยั่งยืนเพื่อให้ทรัพยากรไม้ชนิดนี้คงอยู่ต่อไป

คุณสมบัติและการใช้งานของไม้อันดามันพะยูง
ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงและลวดลายที่สวยงาม ไม้อันดามันพะยูงถูกนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ระดับหรูและงานไม้ที่ต้องการคุณภาพสูง เช่น ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ หรือโครงสร้างไม้ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังใช้ในงานศิลปะ การแกะสลักรูปปั้น และของตกแต่งบ้านที่ต้องการเนื้อไม้ที่มีสีสันโดดเด่น ไม้ชนิดนี้มีความคงทนต่อการผุกร่อน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานภายนอกและการใช้งานในโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ไม้อันดามันพะยูงยังมีการนำมาใช้ในการสร้างเครื่องดนตรีบางชนิดที่ต้องการเสียงก้องกังวานและความงามจากเนื้อไม้ โดยเฉพาะเครื่องดนตรีประเภทสายและเครื่องดนตรีพื้นบ้านของเอเชียใต้ที่มีการใช้งานเนื้อไม้ชนิดนี้เป็นวัสดุหลัก

ความท้าทายในการอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรไม้อันดามันพะยูง
แม้ว่าไม้อันดามันพะยูงจะเป็นไม้ที่มีความสำคัญเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม การตัดไม้อย่างผิดกฎหมายและการนำออกจากป่าอย่างไม่ยั่งยืนทำให้ทรัพยากรไม้ชนิดนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว ความท้าทายที่สำคัญในการอนุรักษ์คือการสร้างมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและการเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อต่อสู้กับการลักลอบตัดไม้ นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนาโครงการปลูกไม้อันดามันพะยูงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมยังเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ การปลูกป่าทดแทนในเขตที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและการตรวจสอบป่าต้นกำเนิดจะช่วยให้ทรัพยากรไม้นี้อยู่ได้อย่างยั่งยืนและเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่คงอยู่ต่อไป

American chestnut

ไม้ American Chestnut (Castanea dentata) เป็นไม้ที่มีความสำคัญทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในด้านการใช้ประโยชน์จากไม้และการรักษาระบบนิเวศ ในอดีต ไม้ชนิดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในไม้ที่มีคุณค่าและมีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์แล้ว มันยังให้เนื้อไม้ที่มีคุณสมบัติแข็งแรง ใช้ในการก่อสร้างและผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ทนทาน อย่างไรก็ตาม ไม้ American Chestnut เคยประสบกับวิกฤติจากโรคที่ทำให้การแพร่พันธุ์ของมันลดลงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 20 จนเกือบสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ

ในบทความนี้จะพาท่านไปเรียนรู้เกี่ยวกับไม้ชนิดนี้ตั้งแต่ประวัติของมัน ที่มาของต้นกำเนิด ขนาดและลักษณะของต้น การใช้งาน ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และความพยายามในการอนุรักษ์ไม้ American Chestnut รวมถึงสถานะของมันในปัจจุบันตามข้อกำหนดของ CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora)

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของไม้ American Chestnut

ไม้ American Chestnut (Castanea dentata) มีต้นกำเนิดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ โดยพบได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยเฉพาะในภาคตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ ไม้ชนิดนี้เติบโตในป่าไม้ที่มีสภาพอากาศเย็นชื้นและดินที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความสูงของต้นและการขยายพันธุ์ที่รวดเร็ว American Chestnut จึงเคยเป็นส่วนหนึ่งของป่าไม้ที่สำคัญในภูมิภาคนี้

เนื่องจากไม้ American Chestnut เติบโตได้ในหลากหลายสภาพแวดล้อม ตั้งแต่ป่าผลัดใบในภูเขาไปจนถึงพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่น มันจึงเป็นไม้ที่มีความสำคัญในระบบนิเวศและการอนุรักษ์ธรรมชาติของอเมริกาเหนือ แม้ในปัจจุบันจำนวนต้นไม้ชนิดนี้จะลดลงอย่างมาก แต่ยังมีความพยายามในการฟื้นฟูและการอนุรักษ์ต้นไม้ชนิดนี้ในหลายพื้นที่

ลักษณะของต้นไม้ American Chestnut

ต้นไม้ American Chestnut เป็นไม้ยืนต้นที่มีลักษณะเด่นในหลายด้าน โดยเฉพาะในด้านความสูงและลักษณะของใบที่เป็นเอกลักษณ์ ต้นไม้ชนิดนี้สามารถเติบโตได้สูงถึง 30 เมตร หรือประมาณ 100 ฟุต และลำต้นสามารถมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ถึง 2 เมตร

ใบของ American Chestnut เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว รูปใบรูปรี หรือรูปไข่ โดดเด่นด้วยขอบใบที่มีลักษณะเป็นคลื่นเล็กน้อย และมีเส้นประสานตรงกลางที่เด่นชัด ซึ่งทำให้ใบมีลักษณะที่สวยงามและชัดเจนในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง

เนื้อไม้ของ American Chestnut มีความทนทานสูงและสามารถทนต่อการผุกร่อนจากสภาพอากาศได้ดี จึงมีการนำมาใช้ในการก่อสร้าง เช่น การสร้างบ้านไม้, เฟอร์นิเจอร์, หรือแม้แต่การสร้างเครื่องมือที่ต้องการความแข็งแรง

ประวัติศาสตร์ของไม้ American Chestnut

ในอดีต ไม้ American Chestnut เป็นไม้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เนื้อไม้ของมันถูกใช้ในการก่อสร้างบ้านและทำเฟอร์นิเจอร์ คุณสมบัติของไม้ที่แข็งแรงและมีความทนทานสูงทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

นอกจากนี้ ผลของไม้ American Chestnut ยังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับสัตว์ป่าและมนุษย์ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ผลของไม้ชนิดนี้จะสุกและตกลงบนพื้นดิน ซึ่งสัตว์ต่าง ๆ จะนำผลนี้ไปเป็นอาหารได้ ขณะที่มนุษย์ยังนำผลไปใช้ในการทำอาหาร เช่น การคั่วและการอบ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 1904 ได้มีการระบาดของโรค "Chestnut Blight" ซึ่งเกิดจากเชื้อรา Cryphonectaria parasitica ที่ทำลายต้นไม้ชนิดนี้อย่างรวดเร็ว โรคดังกล่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วอเมริกา ทำให้ต้นไม้ American Chestnut เกือบสูญพันธุ์จากธรรมชาติในช่วงปลายศตวรรษที่ 20

การสูญเสียของต้นไม้ชนิดนี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ในภูมิภาค โดยเฉพาะสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่านั้นสูญเสียแหล่งอาหารที่สำคัญ รวมถึงเกษตรกรที่ใช้ไม้ชนิดนี้ในการสร้างบ้านและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

การอนุรักษ์ไม้ American Chestnut

แม้ว่าต้นไม้ American Chestnut เกือบจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ แต่ก็ยังมีความพยายามในการอนุรักษ์และฟื้นฟูพันธุ์ไม้ชนิดนี้ให้กลับมามีบทบาทในระบบนิเวศอีกครั้ง หนึ่งในความพยายามที่สำคัญคือการพัฒนา "ต้นไม้ผสม" ที่ทนต่อเชื้อโรค Chestnut Blight ผ่านการพัฒนาพันธุกรรม ซึ่งมีการทดลองเพาะพันธุ์และปลูกต้นไม้ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมเพื่อเพิ่มความต้านทานต่อเชื้อรานี้

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการปลูกต้นไม้ American Chestnut ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโรค Chestnut Blight โดยการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าไม้ที่ได้รับการคัดเลือก เพื่อให้ไม้ชนิดนี้สามารถกลับมาเติบโตและฟื้นฟูระบบนิเวศได้

สถานะของไม้ American Chestnut ใน CITES

ในปัจจุบัน ไม้ American Chestnut ยังไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสถานะของอนุสัญญาคุ้มครองการค้าสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) แต่ต้นไม้ชนิดนี้ได้รับความสนใจในด้านการอนุรักษ์ และการฟื้นฟูพันธุ์จากทั้งนักวิจัยและองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากมันมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศของอเมริกาเหนือและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

African black

ไม้ African Blackwood (หรือที่เรียกในชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia melanoxylon) เป็นไม้ที่ถือว่ามีค่ามากที่สุดในโลก เพราะมีคุณสมบัติที่ทนทานและแข็งแรง อีกทั้งยังมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเนื้อไม้สีดำเข้ม มีความแข็งแรงคงทนและมันวาวที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเครื่องประดับคุณภาพสูง อย่างเช่นการทำเครื่องดนตรีประเภทเป่า (คลาริเน็ต โอโบ) เครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ African Blackwood ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่นิยมในหลายประเทศ อาทิ Grenadilla, Mozambique Ebony และ Mpingo

แหล่งที่มาของ African Blackwood African Blackwood พบมากในแอฟริกาตะวันออก โดยเฉพาะในประเทศแทนซาเนีย เคนยา โมซัมบิก และซิมบับเว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบแห้งและป่าที่เป็นไม้ทุ่งทนแล้ง (Dry Savanna) ต้น African Blackwood มีลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแห้งแล้งนี้อย่างมาก โดยมีความสามารถในการเจริญเติบโตได้ดีแม้ในดินที่ขาดสารอาหาร นอกจากนี้ต้น African Blackwood ยังพบในป่าบางแห่งในภาคใต้ของแอฟริกา แต่ส่วนมากจะถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่แถบแอฟริกาตะวันออก

ขนาดของต้น African Blackwood ต้น African Blackwood เป็นไม้ยืนต้นที่สูงประมาณ 4-15 เมตร แม้ว่าต้นโตเต็มที่อาจจะสูงได้ถึง 20 เมตรก็ตาม ต้นไม้ชนิดนี้เติบโตค่อนข้างช้า โดยอาจใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะโตเต็มที่ ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร โดยทั่วไปแล้วลำต้นของ African Blackwood จะมีเปลือกหนาและหยาบ สีดำเข้ม หรือน้ำตาลเข้ม มีความแข็งแรงและทนทานต่อการกัดกร่อนจากศัตรูพืช ทำให้เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงเหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรม

ประวัติศาสตร์ของ African Blackwood ต้น African Blackwood มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจมายาวนาน โดยถูกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องดนตรีตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวพื้นเมืองในแอฟริกาตะวันออกใช้ไม้ชนิดนี้ในการทำอาวุธ, เครื่องมือการเกษตร และเครื่องประดับต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการนำ African Blackwood มาทำเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิม และเมื่อการค้าระหว่างประเทศเริ่มเติบโต African Blackwood ก็ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 ซึ่งเป็นยุคที่มีการสร้างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่ามากขึ้น

การอนุรักษ์และสถานะ CITES เนื่องจากการตัดไม้ African Blackwood เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมมีมากขึ้น ทำให้จำนวนของต้นไม้ชนิดนี้ลดลงอย่างมาก จนปัจจุบันถูกจัดให้เป็นพันธุ์พืชที่มีความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ โดย African Blackwood ได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพันธุ์พืชใกล้สูญพันธุ์ (CITES) โดยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีที่ 2 ของ CITES ซึ่งระบุถึงพืชและสัตว์ที่อาจเผชิญกับการสูญพันธุ์หากไม่ได้รับการควบคุมการค้าอย่างเหมาะสม

โครงการอนุรักษ์ African Blackwood จึงเริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบแอฟริกาตะวันออกที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดหลักของไม้ชนิดนี้ องค์กรต่าง ๆ ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นในการส่งเสริมการปลูกป่า การฟื้นฟูแหล่งที่อยู่ของไม้ African Blackwood รวมถึงสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นเกี่ยวกับความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตินี้

บทสรุป ไม้ African Blackwood เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและมีความสำคัญทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ด้วยคุณสมบัติของเนื้อไม้ที่แข็งแรง ทนทาน และสวยงาม ทำให้ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมเครื่องดนตรีและเครื่องประดับระดับสูง อย่างไรก็ตาม การตัดไม้ที่ไม่ควบคุมอาจทำให้ต้น African Blackwood ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว การอนุรักษ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าไม้ชนิดนี้จะยังคงอยู่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักและใช้งานต่อไปในอนาคต

Quina

ชื่อสามัญ:  Quina

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Myroxylon peruiferum

การกระจายพันธุ์: เม็กซิโกตอนใต้และอเมริกากลางและอเมริกาใต้

ขนาดต้นไม้:  สูง 65-100 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง:  2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:   58 lbf/ft3 (930 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.77, 0.93

ความแข็ง :   2,200 lbf (9,790 N)

การแตกหัก : 22,770 lbf/in2 (157.0 Mpa)

การยืดหยุ่น:  2,430,000 lbf/in2 (16.76 Gpa)

แรงอัดแตก:  12,250 lbf/in2 (84.5 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 3.8%, Tangential: 6.2%, Volumetric: 10.0%, T/R Ratio: 1.6

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ:  ไม้ Quina มีความแปรผันของสีในระดับที่พอเหมาะ ตั้งแต่สีน้ำตาลทองอ่อนไปจนถึงสีแดงอมม่วงเข้มหรือสีแดงเบอร์กันดี สีมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดง/ม่วงมากขึ้นตามอายุ ส่วนไม้ผ่าสี่สามารถแสดงรูปแบบลายทางหรือริบบิ้น

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:  เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนสนโดยมีผิวสัมผัสเนื้อไม้หยาบปานกลางถึงละเอียด และมีรูพรุนของเนื้อไม้ขนาดปานกลาง

ความทนทาน: ได้รับการจัดอันดับว่ามีความคงทนมากในแง่ของความต้านทานการผุกร่อน และไวต่อการรุกรานของแมลง

ความสามารถในการใช้:  ไม้Quina มีผลทื่อต่อใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะการทำงานได้รับการจัดอันดับว่าดีระดับนึงถึงแย่ เนื่องจากทั้งความหนาแน่นและเสี้ยนเนื้อไม้ที่เป็นเสี้ยนสน บางครั้งการย้อมสีหรือติดกาวอาจเป็นปัญหาได้ แม้ว่าไม้จะใช้งานได้ดีก็ตาม

กลิ่น: ไม้Quina  มีกลิ่นเผ็ดที่โดดเด่นมากเมื่อทำงาน ต้นไม้จากสกุล Myroxylon ใช้ทำยาหม่องของประเทศเปรู ซึ่งเป็นส่วนผสมในน้ำหอม

การแพ้/ความเป็นพิษ:  ไม้Quina  ได้รับรายงานว่าทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ  ดูบทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่:  ควรอยู่ในช่วงกลางสำหรับไม้ที่นำเข้า เปรียบเทียบกับไม้เนื้อแข็งแปลกใหม่อื่น ๆ ที่ใช้ในการปูพื้นเช่น ไม้ Ipe

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List )

การใช้งานทั่วไป:  ปูพื้น เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายใน โครงสร้างหนัก และงานกลึง


อ้างอิง
Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/quina/

หน้าหลัก เมนู แชร์