Suwarin Mide - อะ-ลัง-การ 7891 - Page 31 Of 31

Author - Suwarin Mide

Afata

ไม้ Afata เป็นไม้ที่มีเอกลักษณ์และความสวยงามเฉพาะตัวที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจและนำมาใช้ประโยชน์หลากหลาย มีการนำมาใช้ในงานตกแต่ง งานเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงงานศิลปะในหลากหลายวัฒนธรรม ไม้ Afata จึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการออกแบบภายใน แต่ไม้ชนิดนี้ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการอนุรักษ์และการถูกจัดอยู่ในสถานะไซเตส ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับไม้ Afata ให้มากขึ้น ตั้งแต่ชื่อเรียกอื่นๆ ของมัน แหล่งต้นกำเนิด ไปจนถึงสถานะการอนุรักษ์ในปัจจุบัน

ชื่อเรียกอื่นของไม้ Afata

ไม้ Afata เป็นที่รู้จักกันในหลายชื่อขึ้นอยู่กับภูมิภาคและวัฒนธรรมต่าง ๆ ซึ่งบางชื่อที่นิยมใช้กันได้แก่

  • ไม้สัก Afata (Afata Teak) - เนื่องจากลักษณะคล้ายกับไม้สัก
  • ไม้อามาทา (Amata Wood) - ชื่อที่เรียกในบางชุมชนท้องถิ่นในเอเชีย
  • ไม้ตะวันออก Afata (Eastern Afata) - ในบางประเทศตะวันตกเรียกเช่นนี้เพื่อระบุแหล่งที่มา

การมีชื่อหลากหลายทำให้ไม้ Afata ถูกจดจำและมีอิทธิพลในวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

 

แหล่งต้นกำเนิดของไม้ Afata

ไม้ Afata มีแหล่งต้นกำเนิดอยู่ในพื้นที่เขตร้อนชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า ลาว และกัมพูชา เป็นป่าไม้เขตร้อนที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมและส่งเสริมการเติบโตของไม้ Afata อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ได้ทำให้พื้นที่ป่าไม้ Afata ลดลงในหลายภูมิภาค แม้ในบางประเทศยังคงมีการปลูกป่าไม้ Afata เพื่อการค้า แต่การอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าธรรมชาติยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

ขนาดของต้นไม้ Afata

ไม้ Afata เป็นไม้ที่มีขนาดใหญ่ ต้นสูงถึงประมาณ 25-30 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นราว 1-1.5 เมตร ลำต้นของไม้ Afata มีลักษณะตรงและหนาแน่น ทำให้เป็นที่ต้องการอย่างมากในงานตกแต่งและอุตสาหกรรมไม้ต่าง ๆ เปลือกของไม้ Afata มีสีที่เข้มและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งมักจะเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่เติบโต นอกจากนี้ ความทนทานของไม้ Afata ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ได้รับความนิยม

ประวัติศาสตร์ของไม้ Afata

ประวัติศาสตร์ของไม้ Afata สามารถย้อนไปได้หลายร้อยปี ชนพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ใช้ประโยชน์จากไม้ Afata ในการสร้างบ้าน สะพาน และเฟอร์นิเจอร์ ไม้ Afata ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและความมั่นคง มีการค้าขายและแลกเปลี่ยนไม้ Afata ระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม้ Afata กลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าในตลาดโลก

ในช่วงยุคอาณานิคม ไม้ Afata ถูกนำเข้ามาในยุโรปและอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างมากในวงการตกแต่งและสถาปัตยกรรม ต่อมา ไม้ Afata ได้รับความสนใจในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลก เช่นเดียวกับไม้สัก และไม้พยุง

การอนุรักษ์ไม้ Afata

เนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าและการใช้งานในอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้น ความหลากหลายของไม้ Afata ในธรรมชาติได้ลดลงอย่างมาก รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องได้พยายามสร้างมาตรการการอนุรักษ์ เช่น การกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ และการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาป่าไม้ นอกจากนี้ มีการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดในหลายประเทศเพื่อควบคุมการตัดไม้ที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ของไม้ Afata

สถานะ CITES ของไม้ Afata

ไม้ Afata ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชี CITES ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการค้าสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ CITES ได้กำหนดให้ไม้ Afata อยู่ในบัญชีไซเตสประเภทที่ 2 ซึ่งหมายความว่าต้องมีการตรวจสอบและควบคุมการส่งออกเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์ แต่ไม่ถึงกับต้องห้ามการค้าขายโดยสิ้นเชิง การดำเนินการนี้ช่วยสร้างความตระหนักรู้และป้องกันการลักลอบค้าไม้จากป่าไม้ธรรมชาติ

Makha

ไม้มะค่า (Afzelia xylocarpa) ไม้มะค่าถือเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีมูลค่าสูงและหายากในปัจจุบัน เพราะนอกจากความทนทานและแข็งแรงแล้ว ยังมีจุดเด่นที่โดดเด่นในด้านความสวยงามของลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะยิ่งสวยงามขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยไม้มะค่าจะมีเนื้อไม้แน่นและหนัก มีลวดลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อขัดเงา สีจะดูอบอุ่นมีเสน่ห์ และลายไม้จะดูมีมิติ ซึ่งทำให้เหมาะกับงานตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความสวยงามและความคงทน

ไม้มะค่ายังเป็นไม้ที่มีความนิยมและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว และกัมพูชา เพราะมีลักษณะเด่นทั้งในด้านความสวยงาม ความทนทาน และคุณสมบัติทางเทคนิคที่เหมาะสมกับการใช้งานหลากหลายชนิด

ไม้มะค่ามีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นไม้ที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

1. ความแข็งแรงและทนทาน

  • ไม้มะค่าเป็นไม้เนื้อแข็ง มีความแข็งแรงมาก ทนทานต่อแรงกด แรงดึง และการกระแทกสูง จึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี
  • มีความทนทานต่อสภาพอากาศและความชื้นสูง ทำให้เหมาะกับงานก่อสร้างที่ต้องการความคงทน รวมถึงใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก

2. ทนต่อแมลงและเชื้อรา

  • ไม้มะค่ามีความต้านทานต่อปลวกและมอดได้ดี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแมลงกัดกินหรือเชื้อราที่มักเกิดกับไม้ทั่วไป

3. ลวดลายและสีสันสวยงาม

  • ไม้มะค่ามีลวดลายที่สวยงาม มีเส้นลายที่คมชัดและสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีสีตั้งแต่เหลืองอมน้ำตาลไปจนถึงน้ำตาลแดงเข้ม ซึ่งเป็นสีที่มีเอกลักษณ์และให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้เหมาะกับงานตกแต่งภายใน
  • เมื่อขัดเงาจะมีความเงางามและลวดลายโดดเด่นขึ้นมา เพิ่มความหรูหราให้กับงานเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้

4. ง่ายต่อการขัดเงาและเคลือบผิว

  • ไม้มะค่ามีเนื้อไม้ที่ขัดเงาได้ง่าย ทำให้สามารถเพิ่มความเงางามและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี
  • สามารถเคลือบผิวได้ง่ายด้วยน้ำยาเคลือบหลากหลายชนิด ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น

5. น้ำหนักและความหนาแน่นสูง

  • ไม้มะค่ามีความหนาแน่นและน้ำหนักมาก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการใช้งานที่ต้องการความคงทนและแข็งแรง
  • ความหนาแน่นนี้ยังช่วยให้ไม้มะค่ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แม้ต้องเผชิญกับการใช้งานหนักหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

6. มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและหายาก

  • ด้วยความแข็งแรงและความสวยงามที่โดดเด่น ไม้มะค่าจึงมีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการในตลาด ทำให้เป็นไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
  • ปัจจุบันไม้มะค่าเริ่มหายากขึ้น เนื่องจากการตัดไม้เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไม้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การใช้งาน

  • เฟอร์นิเจอร์: ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ เนื่องจากมีความสวยงามและทนทาน
  • งานก่อสร้าง: สามารถใช้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างบ้าน เช่น เสาไม้และพื้นไม้ เนื่องจากมีความแข็งแรงสูง
  • งานแกะสลัก: เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงาม ทำให้ไม้มะค่าเป็นที่นิยมสำหรับงานแกะสลักและงานตกแต่ง

การดูแลรักษา

ไม้มะค่าควรได้รับการรักษาความชื้นและการเคลือบผิวเพื่อป้องกันรอยขีดข่วนและรอยด่าง และหากอยู่ในที่แห้งควรหลีกเลี่ยงความชื้นมากเกินไปเพื่อรักษาสีและลายให้คงอยู่ได้นาน

คุณสมบัติโดดเด่น

  • เป็นไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม
  • มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและแมลงศัตรูไม้
  • มีเนื้อไม้แข็งแรง ใช้งานได้หลากหลาย

 

ชื่อสามัญ: Makha Wood, Maka, Afzelia Burl, Burl Wood

ชื่อวิทยาศาสตร์: Afzelia xylocarpa

ถิ่นกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า

ความสูงลำต้น: 85 ฟุต - 130 ฟุต (26  - 40 เมตร)

เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น: 6.5 ฟุต (2 เมตร)

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย: 51.5 lbf/ft3 (825 kg/m3 )

ความถ่วงเฉพาะ: 12% Mc

ความแข็ง (Janka):  1,980 lbf (8,820 N)

โมดูลัสของการแตกร้าว: 17,210 lbf/in2 (118.7 Mpa)

โมดูลัสยืดหยุ่น:  1,939,000 lbf/in2 (13.37 Gpa)

แรงอัด:  9,960 lbf/in2 (68.7 Mpa)

Lignum vitae

ไม้ Lignum vitae (อ่านว่า "ลิกนัม ไวตี้") หรือ “แก้วเจ้าจอม” มีชื่อสามัญว่า Lignum Vitae ในภาษาละตินแปลว่า “ไม้แห่งชีวิต” แม้แก้วเจ้าจอมจะเป็นไม้ต่างถิ่นที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะเวสต์อินดีส เป็นหนึ่งในไม้ที่มีความหนาแน่นสูงที่สุดในโลกจนสามารถ จมน้ำได้ ซึ่งหาได้ยากสำหรับไม้ทั่วไป เพราะไม้มักลอยน้ำตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ลิกนัมไวตี้ยังมีความพิเศษมากด้วยน้ำมันตามธรรมชาติที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ ทำให้มันมีคุณสมบัติ ทนต่อการเสียดสีและความชื้น สูงมาก

ไม้ Lignum vitae (จากพืชสกุล Guaiacum) มีคุณสมบัติพิเศษหลายประการที่ทำให้มันแตกต่างจากไม้ชนิดอื่น:

1. ความหนาแน่นและความแข็งแรง

  • Lignum vitae ถือเป็นหนึ่งในไม้ที่หนักที่สุดในโลก ด้วยความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 1,230–1,370 กก./ลูกบาศก์เมตร ซึ่งหมายความว่ามันสามารถจมน้ำได้ เนื่องจากมีความหนาแน่นมากกว่าน้ำ​
  • ค่าความแข็ง (Janka Hardness) อยู่ที่ประมาณ 4,500–5,000 ปอนด์ฟอร์ซ (lbf) ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานของไม้ทั่วไปอย่างมาก ทำให้ทนต่อการสึกหรอได้ดีมาก​

2. การหล่อลื่นในตัวเอง

  • เนื้อไม้มีน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่นภายนอกในการใช้งานบางประเภท เช่น แบริ่งของเพลือกเรือหรือเครื่องจักร​
    คุณสมบัตินี้ช่วยให้ Lignum vitae ทนทานต่อการใช้งานหนักในสภาวะที่ต้องเสียดสีสูง

3. ความทนทานต่อการผุกร่อนและแมลง

  • ด้วยน้ำมันธรรมชาติและความหนาแน่นสูง ทำให้ Lignum vitae ทนต่อแมลงและการผุกร่อนได้ดี ไม่จำเป็นต้องผ่านการอบหรือการรักษาด้วยสารเคมีเพิ่มเติม​

4. การใช้งานทางอุตสาหกรรม

  • ในอดีต Lignum vitae ถูกใช้เป็นแบริ่งสำหรับเรือเดินทะเล เนื่องจากสามารถรับแรงกระแทกได้ดีและไม่เสียหายแม้แช่ในน้ำทะเลนาน ๆ​ นอกจากนี้ยังถูกใช้ทำบูช (bushings) ในกังหันไอน้ำและในอุตสาหกรรมเครื่องจักรต่าง ๆ

5. โครงสร้างทางกายภาพ

  • เนื้อไม้มีลายไม้ที่ละเอียดและซับซ้อน และเนื่องจากมีสีเขียวเข้มจนถึงน้ำตาลเข้ม ทำให้มักถูกนำไปใช้ในการแกะสลักเครื่องประดับ หรือทำด้ามเครื่องมือและอุปกรณ์ดนตรี
placeholder image
placeholder image

ชื่อสามัญ : ลิกนัมไวแท, พาโลซันโต, กวายาคาน, ฮอลีวูด, ลิกนัมไวแทแท้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Guaiacum officinale และ G. sanctum

การกระจายพันธุ์ : อเมริกากลางและตอนเหนือของอเมริกาใต้

ขนาดของต้น : สูง 20-30 ฟุต (6-10 เมตร) เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-2 ฟุต (0.3-0.6 เมตร)

น้ำหนักเฉลี่ย (เมื่อแห้ง) : 78.5 ปอนด์/ฟุต³ (1,260 กก./ม³)

ความถ่วงจำเพาะ (พื้นฐาน, ความชื้น 12%) : 1.05, 1.26

ค่าความแข็ง Janka : 4,390 ปอนด์แรง (19,510 นิวตัน)

โมดูลัสของการแตกหัก (MOR) : 17,970 ปอนด์แรง/นิ้ว² (123.9 MPa)

โมดูลัสของความยืดหยุ่น (MOE) : 2,481,000 ปอนด์แรง/นิ้ว² (17.11 GPa)

ค่าความแข็งแรงในการบดอัด : 12,380 ปอนด์แรง/นิ้ว² (85.4 MPa)

การหดตัว:

  • รัศมี: 5.3%
  • แนวสัมผัส: 8.7%
  • ปริมาตรรวม: 14.0%
  • อัตราส่วน T/R: 1.6

Bristlecone pine

Bristlecone Pine (Pinus longaeva) เป็นต้นไม้ที่มีอายุนานที่สุดในโลก มีอายุมากกว่า 4,000 ปี ต้นไม้ชนิดนี้มักพบในพื้นที่สูงในภูเขา Sierra Nevada ของรัฐแคลิฟอร์เนียและในบางส่วนของรัฐเนวาดาและยูทาห์

Bristlecone Pine (Pinus longaeva) เป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญในเชิงวิชาการ โดยเฉพาะในด้านการศึกษาเกี่ยวกับภูมิอากาศและระบบนิเวศ นี่คือข้อมูลเชิงวิชาการเกี่ยวกับ Bristlecone Pine:

การแพร่กระจาย

Bristlecone Pine มักพบในภูมิประเทศที่สูง (สูงกว่า 2,500 เมตร) ในพื้นที่แห้งแล้ง เช่น ภูเขา Sierra Nevada ของแคลิฟอร์เนีย และพื้นที่อื่นๆ ในรัฐเนวาดาและยูทาห์

อายุยืน

Bristlecone Pine เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก โดยมีการบันทึกว่าต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดมีอายุมากกว่า 4,800 ปี การศึกษาเกี่ยวกับอายุของ Bristlecone Pine ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในอดีตได้

บทบาทในระบบนิเวศ

  • ระบบนิเวศ: Bristlecone Pine มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศที่มีสภาพแห้งแล้ง โดยให้ที่พักอาศัยและอาหารแก่สัตว์ป่า
  • การศึกษาภูมิอากาศ: วงแหวนของการเจริญเติบโตของ Bristlecone Pine สามารถบ่งบอกถึงสภาพภูมิอากาศในอดีตได้ นักวิทยาศาสตร์ใช้ข้อมูลนี้ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinus longaeva

วงศ์ : Pinaceae (วงศ์สน)

สูงประมาณ : 15–20 เมตร (50–66 ฟุต)

เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ : 0.5–1.5 เมตร (1.5–5 ฟุต)

เปลือก : เปลือกหนาและแตกเป็นแนวขวาง มีสีเทาหรือสีน้ำตาล

ใบ : เป็นใบเข็มยาวประมาณ 2–5 นิ้ว (5–13 ซม.) มีลักษณะเรียวและแข็ง ใบมักจะมีสีเขียวเข้มและมักจะเป็นคู่หรือกลุ่มสามใบ

อัตราการเจริญเติบโต : เจริญเติบโตช้ามาก โดยเฉลี่ยประมาณ 1–3 ซม. ต่อปีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

อายุ : สามารถมีอายุได้มากถึง 4,800 ปี ทำให้เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่มีอายุมากที่สุดในโลก
ถิ่นกำเนิด : พบได้ในพื้นที่หินและดินที่ไม่สมบูรณ์ในภูเขา ไวโอมิง และ แคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐอเมริกา

สภาพแวดล้อม : เจริญเติบโตในสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งและมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,700–4,300 เมตร (8,800–14,100 ฟุต)

Angelique

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

 

คุณสมบัติและข้อมูลสำคัญ

ไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษหลายประการ เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ในบทความนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับไม้ Angelique แบบเจาะลึกในทุกด้าน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกใช้ไม้ชนิดนี้ มาดูคุณสมบัติเด่นๆ ที่ทำให้ไม้ Angelique เป็นที่นิยมกันดีกว่า

1. แหล่งที่มาของไม้ Angelique
ไม้ Angelique มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบชื้นของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศอย่าง กายอานา บราซิล และเวเนซุเอลา ทำให้เป็นไม้ที่เติบโตในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ส่งผลให้ไม้ชนิดนี้มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

2. ลักษณะเนื้อไม้
เนื้อไม้ Angelique เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีโครงสร้างหนาแน่น สีเนื้อไม้มีตั้งแต่สีน้ำตาลอมแดงไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มีความมันวาวตามธรรมชาติเมื่อขัดเงา ซึ่งช่วยเสริมความหรูหราและเพิ่มความทนทานของเนื้อไม้

3. ลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์
ไม้ Angelique มีลวดลายสามมิติที่เป็นธรรมชาติ ดูราวกับภาพภูเขาสูงตระหง่าน ลวดลายมีทั้งเส้นตรงและเส้นโค้งที่คดเคี้ยวเล็กน้อย สลับกับเงาเข้มและอ่อนอย่างลงตัว เป็นไม้ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน

 

4. ความทนทานสูงและการใช้งานภายนอก
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ไม้ Angelique สามารถใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร เช่น เฟอร์นิเจอร์สนาม รั้วไม้ โครงสร้างอาคาร หรือแม้แต่พื้นภายนอกบ้าน เพราะทนต่อความชื้นและเชื้อรา

5. ป้องกันแมลงตามธรรมชาติ
ไม้ Angelique มีคุณสมบัติป้องกันแมลงตามธรรมชาติ เนื่องจากมีสารเคมีตามธรรมชาติในเนื้อไม้ที่ทำให้แมลงไม่ชอบ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการไม้ที่ไม่ต้องใช้สารเคลือบเพื่อป้องกันแมลง

6. สีสันที่เป็นธรรมชาติและโดดเด่น
สีของไม้ Angelique อยู่ในโทนน้ำตาลอมเหลืองไปจนถึงน้ำตาลแดง สร้างความอบอุ่นและเป็นมิตรต่อสายตา เหมาะสำหรับการตกแต่งทั้งแบบคลาสสิกและสมัยใหม่ สีที่ได้จากธรรมชาตินี้ช่วยให้ไม้ดูสดใสและเพิ่มเสน่ห์ให้กับทุกพื้นที่

7. เหมาะสำหรับการตกแต่งหลากหลายสไตล์
ไม้ Angelique สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หลากหลายรูปแบบ เช่น โต๊ะกลาง เคาน์เตอร์ ชั้นวางของ และงานตกแต่งผนัง ทั้งยังสามารถนำไปทำชิ้นงานขนาดใหญ่ได้ดี เนื่องจากมีขนาดที่กว้างและยาว มอบความหรูหราและน่าสนใจในทุกพื้นที่

8. เพิ่มมูลค่าทางศิลปะและพลังแห่งธรรมชาติ
ลวดลายที่สวยงามของไม้ Angelique ได้รับการยอมรับว่าเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ ผสมผสานความสวยงามและความทนทานอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าไม้ที่มีลายคล้ายภูเขานี้นำพลังบวกและเสริมความสำเร็จแก่ผู้ครอบครอง

9. อายุการใช้งานที่ยาวนานและคุ้มค่า
ไม้ Angelique มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ผุกร่อนง่าย จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ใช้งานได้หลายสิบปีและมีความทนทานต่อสภาพอากาศมากกว่าไม้ชนิดอื่นๆ

10. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การใช้ไม้ Angelique ซึ่งเป็นไม้ที่มีอายุการใช้งานยาวนานและไม่ต้องการการดูแลซ้ำซ้อน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ไม้ที่มีความทนทานสูงทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมบ่อย ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

Family FABACEAE-CAESALPINIOIDEAE (angiosperm)
Scientific name(s) Synonymous CITES: IUCN:
Dicorynia guianensis
Dicorynia paraensis
Not listed NE

ชื่อท้องถิ่น

ATIBT Pilot Name
Basralocus
Brazil
Angelica Do Para
Brazil
Basralocus
Brazil
Tapaiuna
French Guiana
Angelique
Suriname
Barakaroeballi
Suriname
Basralokus
China
圭亚那双柱苏木

ลักษณะทางกายภาพ

Grain Straight
Interlocked Grain Absent
Sapwood Clearly demarcated
Texture Medium
Typical Color Brown

คำอธิบายทางกายภาพ

Crushing Strength 70 MPa +/- 3
Specific Gravity (at 12% MC) 0.79 g/cm3 +/- 0.05
Stability Moderately stable
Static bending strength 121 MPa +/- 46

ข้อมูลเชิงเทคนิค

สี: สีน้ำตาลแดงถึงน้ำตาลแดงหรือเหลือง
ขนาดลำต้น: 30 – 45 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น : 60 – 90 เซ็นติเมตร
ค่าความแข็ง Janka  : 1,270 ปอนด์ (หรือประมาณ 5,650 นิวตัน)
แรงอัด (Mpa แห้ง) : 67 – 73 Mpa
ความถ่วงจำเพาะ : 0.74 – 0.84
ความหนาแน่น(kg/m3 dry): 1.08 กก./ลบ.ม.

หน้าหลัก เมนู แชร์