California Black Oak
Suwarin Mide2024-11-10T08:49:02+07:00ชื่อวิทยาศาสตร์และชื่ออื่น ๆ ของไม้ California Black Oak
California Black Oak มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Quercus kelloggii เป็นไม้ที่พบมากในภูมิภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในรัฐแคลิฟอร์เนีย ชื่อสามัญของไม้ชนิดนี้นอกจาก “California Black Oak” แล้ว ยังเรียกว่า “Kellogg Oak” เพื่อเป็นเกียรติแก่ศาสตราจารย์ Albert Kellogg นักพฤกษศาสตร์ที่ค้นพบและจำแนกชนิดของต้นไม้นี้ไว้ในช่วงศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังมีชื่อพื้นเมืองที่เรียกว่า “Black Oak” หรือ “Western Black Oak” ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัวของไม้ที่มีผิวเปลือกหนาสีดำและลำต้นที่แข็งแรง
ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของ California Black Oak
California Black Oak พบได้มากในแคลิฟอร์เนีย แต่ยังเจริญเติบโตในพื้นที่ชายฝั่งของรัฐโอเรกอนไปจนถึงทางตอนใต้ของเม็กซิโก ไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงที่มีระดับความสูงระหว่าง 600–2400 เมตรจากระดับน้ำทะเล และพบได้ในภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีฤดูร้อนอากาศร้อนแห้งและฤดูหนาวอากาศเย็นชื้น นอกจากนี้ยังพบ California Black Oak อยู่ในป่าเบญจพรรณป่าโปร่งและป่าสนร่วมกับต้นไม้อื่น ๆ เช่น สนเจฟเฟอร์สัน (Jeffrey Pine) และมานซานีตา (Manzanita)
ขนาดและลักษณะของต้น California Black Oak
California Black Oak เป็นไม้ยืนต้นที่สูงถึง 15–30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เมตร เปลือกไม้สีดำหนาและแตกเป็นร่องลึก ซึ่งช่วยป้องกันความร้อนจากไฟป่าได้เป็นอย่างดี ใบของ California Black Oak มีลักษณะเป็นรูปรีปลายใบมีแฉก ลักษณะใบหยาบหนามีฟันเลื่อยด้านข้าง ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในฤดูใบไม้ร่วง ผลของต้น California Black Oak เป็นผลโอ๊คที่มีขนาดเล็ก สีน้ำตาลแดง ที่สำคัญ ผลโอ๊คนี้มีความสำคัญต่อสัตว์ในระบบนิเวศ เพราะเป็นอาหารสำหรับสัตว์หลายชนิด เช่น กระรอก กวาง และนก
ประวัติศาสตร์ของ California Black Oak
California Black Oak มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในแถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ชนเผ่าพื้นเมืองใช้ผลโอ๊คในการบริโภค โดยกระบวนการจัดเตรียมมักจะเริ่มจากการเก็บผลโอ๊คเพื่อนำมาแช่น้ำและตากแดด จากนั้นจึงบดและแปรรูปให้สามารถนำมาทำอาหาร เช่น ขนมปัง และซุป ชนพื้นเมืองยังใช้ไม้ของต้น California Black Oak ในการทำเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ
การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES Status) ของ California Black Oak
แม้ว่า California Black Oak ยังไม่มีการบรรจุไว้ในภาคผนวกของไซเตส (CITES – Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) แต่การอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองที่ช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศรวมถึงการเกิดไฟป่าบ่อยครั้งอาจเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของ California Black Oak องค์กรต่าง ๆ ในแคลิฟอร์เนียมีความพยายามในการอนุรักษ์ไม้ชนิดนี้ผ่านการควบคุมการพัฒนาพื้นที่และการสร้างพื้นที่กันชนเพื่อป้องกันไฟป่า เพื่อให้ California Black Oak สามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต