ข้อเสียของ : ไม้ประดู่
ไม้ประดู่ (Rosewood) เป็นไม้เนื้อแข็งที่ได้รับความนิยมสูงในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เช่น โต๊ะไม้ประดู่ (Rosewood table) และพื้นไม้ประดู่ (Rosewood floors) เนื่องจากความแข็งแรง ทนทาน และลวดลายที่สวยงาม แต่ถึงแม้ว่าไม้ประดู่จะมีข้อดีมากมาย ก็ยังมีข้อเสียที่ควรพิจารณาก่อนการเลือกใช้งาน เช่นเดียวกับไม้ชนิดอื่นๆ การทำความเข้าใจข้อเสียเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นเมื่อเลือกใช้ไม้ประดู่ในงานต่างๆ
ราคาไม้ตะเคียนที่สูง
หนึ่งในข้อเสียที่เห็นได้ชัดของไม้ตะเคียนคือราคาไม้ตะเคียนที่สูง โดยเฉพาะไม้ตะเคียนแผ่นใหญ่ (large Iron wood) หรือไม้ตะเคียนนำเข้า (imported Iron wood) จากแหล่งผลิตที่มีการจัดการอย่างดี ราคาของไม้ตะเคียนจะสูงขึ้นตามคุณภาพและการขนส่งที่ต้องมีต้นทุนที่สูง การใช้ไม้ตะเคียนในงานเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้จึงมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีความแข็งแรงและทนทานคล้ายๆ กัน เช่น ไม้สักหรือไม้แดง
ความยากในการหาแหล่งที่มีคุณภาพ
แม้ว่าต้นตะเคียนจะเป็นไม้ที่แข็งแรงและทนทาน แต่การหาต้นไม้ตะเคียนที่มีคุณภาพดีเพื่อใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์หรือการก่อสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้นตะเคียนที่มีคุณสมบัติที่ดีนั้นมักจะต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตอย่างช้าๆ และมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งทำให้มันหายากในบางพื้นที่ การที่ไม้ตะเคียนมีราคาสูงนั้นส่วนหนึ่งก็เกิดจากการหาต้นที่มีคุณภาพได้ยาก รวมถึงการควบคุมการตัดและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ทำให้การได้มาของไม้มีต้นทุนสูง
ความเสี่ยงจากการขยายตัวและหดตัว
ไม้ตะเคียนมีคุณสมบัติที่สามารถขยายตัวและหดตัวตามสภาพอากาศและความชื้นในสภาพแวดล้อม หากคุณใช้ไม้ตะเคียนในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความชื้นอย่างรวดเร็ว เช่น ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือตกแดดจัด ไม้ตะเคียนอาจเกิดการหดตัวหรือขยายตัว ซึ่งสามารถทำให้รูปทรงของเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ตะเคียนที่ทำจากไม้ชนิดนี้เสียหาย เช่น พื้นไม้ที่ไม่เรียบ หรือโต๊ะไม้ที่ไม่สามารถวางของได้อย่างมั่นคง
การที่ไม้ตะเคียนมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงความชื้นอาจทำให้จำเป็นต้องใช้วัสดุเคลือบหรือการดูแลรักษาเพิ่มเติม เช่น การเคลือบไม้ด้วยสารป้องกันความชื้น เพื่อป้องกันการบิดเบี้ยวหรือเสียรูปทรงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
การเสื่อมสภาพจากแสงแดด
เช่นเดียวกับไม้ชนิดอื่นๆ ไม้ตะเคียนก็สามารถเสื่อมสภาพได้เมื่อสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน การที่ไม้ตะเคียนต้องรับแสงแดดโดยตรงเป็นระยะเวลานานอาจทำให้สีของไม้ซีดจาง และทำให้ลักษณะของไม้ดูหมองคล้ำหรือไม่สดใสเหมือนเดิมได้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ตะเคียน เช่น โต๊ะไม้ตะเคียนที่ตั้งอยู่ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบ่อยๆ หรือพื้นไม้ที่มีการสัมผัสกับแสงแดด ต้องระมัดระวังเรื่องการซีดจางของสี
การป้องกันรังสียูวี (UV) จากแสงแดดด้วยการเคลือบผิวไม้ด้วยสารป้องกันแสงแดดหรือการใช้ม่านกรองแสงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อยืดอายุการใช้งานของไม้ตะเคียนและรักษาความสวยงามให้คงทนไปได้นาน
ความเสี่ยงจากแมลง
แม้ว่าต้นไม้ตะเคียนจะมีความทนทานต่อแมลงได้ดี แต่ในบางกรณีที่ไม้ไม่ได้รับการดูแลที่ดี หรือหากไม้ตะเคียนถูกใช้ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงมากเกินไป ไม้ตะเคียนก็อาจจะเกิดการเสียหายจากแมลงที่กัดกินได้ โดยเฉพาะแมลงที่ชอบกัดกินไม้เนื้อแข็ง เช่น ปลวกหรือแมลงผิวไม้ ซึ่งอาจทำให้ไม้ตะเคียนเกิดการบอบบางและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
การเคลือบไม้ด้วยสารเคลือบป้องกันแมลงและเชื้อราจึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหานี้ได้ แต่การดูแลรักษาไม้ตะเคียนยังคงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมสภาพแวดล้อมที่ไม้อยู่ เช่น การไม่ให้ไม้สัมผัสความชื้นมากเกินไป
การขัดและการทาสี
แม้ว่าไม้ตะเคียนจะมีผิวที่เรียบและทนทาน แต่การขัดหรือทาสีไม้ตะเคียนอาจเป็นเรื่องยากกว่าการทำเช่นเดียวกับไม้ชนิดอื่นๆ เพราะเนื้อไม้ของไม้ตะเคียนมีลักษณะค่อนข้างแข็งและหนา การขัดไม้ที่มีความแข็งแบบนี้จึงอาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าปกติ และการทาสีก็อาจจะไม่เรียบเนียนเท่าไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีเนื้อไม้ที่ค่อนข้างละเอียด
สรุป
แม้ว่าไม้ตะเคียนจะมีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่าง เช่น ความทนทานและความแข็งแรงที่ทำให้มันเหมาะสำหรับการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรือพื้นไม้ในพื้นที่ที่มีการใช้งานบ่อยๆ แต่ก็มีข้อเสียบางประการที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้ เช่น ราคาไม้ตะเคียนที่ค่อนข้างสูง การเสี่ยงจากการหดตัวและขยายตัวตามความชื้น การเสื่อมสภาพจากแสงแดด และความเสี่ยงจากแมลง ทั้งนี้ การดูแลรักษาไม้ตะเคียนให้ดีสามารถช่วยลดข้อเสียเหล่านี้ได้ แต่ก็ควรพิจารณาก่อนว่าไม้ชนิดนี้เหมาะสมกับการใช้งานในลักษณะไหน