Perishable

Indian Pulai

ไม้ Indian Pulai หรือที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Alstonia scholaris เป็นไม้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและมีคุณค่าในแง่ของการใช้ประโยชน์ทางสมุนไพร โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ไม้ชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ เช่น White Cheesewood, Devil Tree, และ Dita Bark ไม้ Indian Pulai มีเอกลักษณ์เฉพาะในด้านคุณสมบัติการเจริญเติบโตและเนื้อไม้ที่เบา ทำให้เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมไม้และการผลิตงานฝีมือ

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของ Indian Pulai

ต้นไม้ Indian Pulai เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และบางส่วนของภูมิภาคโอเชียเนีย มักพบได้ทั่วไปในประเทศอินเดีย ศรีลังกา เมียนมา ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ต้นไม้ชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงและแสงแดดส่องถึง เป็นพืชที่สามารถเติบโตได้ทั้งในป่าดิบชื้นและป่าโปร่ง

นอกจากเป็นที่นิยมในพื้นที่ท้องถิ่นแล้ว Indian Pulai ยังเป็นที่รู้จักและถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการไม้เนื้ออ่อนที่เบาและทนทาน

ขนาดและลักษณะของต้น Indian Pulai

ต้น Alstonia scholaris หรือ Indian Pulai สามารถเจริญเติบโตได้สูงถึง 15-30 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลำต้นของต้น Pulai มีลักษณะตรง เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นอาจกว้างได้ถึง 1 เมตร เปลือกมีลักษณะสีเทาอ่อนและหยาบ เป็นร่องเล็ก ๆ เมื่อแก่เปลือกไม้จะมีการแตกออกเป็นแถบตามแนวตั้ง

ใบของ Indian Pulai มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวในลักษณะเวียนรอบลำต้น ใบย่อยมีลักษณะเรียวยาวและหนา สีเขียวเข้มและเป็นมัน ส่วนดอกมีสีขาวหรือสีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งดอกจะบานในช่วงฤดูหนาว เมล็ดของ Indian Pulai มีขนาดเล็กและมีขนฟูที่ช่วยให้มันสามารถลอยไปตามลม ช่วยในการกระจายพันธุ์ได้ดีในธรรมชาติ

เนื้อไม้ Indian Pulai มีสีขาวนวลหรือสีเหลืองอ่อน เนื้อไม้มีลักษณะเบาและมีความหนาแน่นต่ำ จึงเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการไม้เนื้ออ่อนและน้ำหนักเบา ความเบาของเนื้อไม้ทำให้ไม้ชนิดนี้เหมาะสำหรับการทำเครื่องเรือน งานแกะสลัก และงานฝีมืออื่น ๆ ที่ต้องการไม้ที่ง่ายต่อการแปรรูป

ประวัติศาสตร์และการใช้ประโยชน์ของ Indian Pulai

Indian Pulai เป็นไม้ที่มีประวัติการใช้ยาวนานในหลากหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในอินเดียและประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม้ชนิดนี้มักถูกใช้ในด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนที่ต้องการน้ำหนักเบา และของตกแต่งบ้านเนื่องจากเนื้อไม้มีความเบาและง่ายต่อการขัดแต่ง รูปแบบการใช้ประโยชน์จากไม้ Indian Pulai ยังรวมไปถึงการทำงานฝีมือ เช่น งานแกะสลักและทำตุ๊กตาไม้ที่มีความละเอียดอ่อน

ในด้านสมุนไพร Indian Pulai มีประวัติการใช้ยาวนานในด้านการแพทย์แผนโบราณ โดยเฉพาะในอินเดียและจีน เปลือกของต้นไม้ชนิดนี้มีสารที่มีสรรพคุณทางยาซึ่งถูกใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคมาลาเรีย และอาการท้องเสีย นอกจากนี้ยังถูกใช้ในการบรรเทาอาการไข้และช่วยลดอาการอักเสบ ปัจจุบันสารสกัดจากเปลือกไม้ Indian Pulai ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แผนโบราณในบางพื้นที่

อีกทั้ง Indian Pulai ยังถูกนำมาใช้ในงานก่อสร้างขนาดเบาและการทำเรือในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในชุมชนที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เนื่องจากเนื้อไม้มีความเบาและทนต่อการสึกกร่อนจากน้ำ ทำให้เหมาะสำหรับการทำเรือขนาดเล็กและอุปกรณ์ทางน้ำที่ต้องการความทนทาน

การอนุรักษ์และสถานะการคุ้มครองของ Indian Pulai

แม้ว่า Indian Pulai จะยังไม่อยู่ในรายชื่อภาคผนวกของอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) แต่การตัดไม้และการใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนต้นไม้ชนิดนี้ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตที่มีการตัดไม้เพื่อการพาณิชย์และการขยายพื้นที่การเกษตร

หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย ได้เริ่มดำเนินการอนุรักษ์และปกป้องต้นไม้ชนิดนี้ โดยมีการกำหนดเขตอนุรักษ์และพื้นที่ป่าสงวนเพื่อรักษาประชากรของ Indian Pulai ในธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้มีการเพาะปลูกต้นไม้ชนิดนี้ในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้ประโยชน์เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

โครงการอนุรักษ์ Indian Pulai ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันการสูญเสียพืชพันธุ์ที่มีคุณค่าต่อระบบนิเวศในพื้นที่อีกด้วย การอนุรักษ์และการส่งเสริมการปลูก Indian Pulai อย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติสำหรับคนรุ่นหลัง

สรุป

Indian Pulai หรือที่รู้จักกันในชื่อ White Cheesewood, Devil Tree, และ Dita Bark เป็นไม้ที่มีคุณค่าและได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากคุณสมบัติเนื้อไม้ที่เบาและทนทาน ทำให้เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลัก และงานฝีมือที่ต้องการความละเอียดอ่อน ไม้ชนิดนี้ยังมีคุณค่าทางสมุนไพรและถูกใช้ในด้านการแพทย์แผนโบราณมายาวนาน

แม้ว่าจะยังไม่มีสถานะใน CITES แต่การใช้ประโยชน์อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายและการขยายพื้นที่การเกษตรในบางพื้นที่อาจส่งผลกระทบต่อจำนวนของต้นไม้ชนิดนี้ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าพืชพันธุ์ที่มีค่าเช่น Indian Pulai จะยังคงอยู่ในธรรมชาติและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน

Gray birch

ไม้ Gray Birch หรือที่รู้จักกันในชื่อ Betula populifolia เป็นไม้ชนิดหนึ่งในตระกูล Betulaceae ซึ่งได้รับความสนใจในวงการอุตสาหกรรมไม้และการตกแต่งภูมิทัศน์ เนื่องจากมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวและสามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็ว Gray Birch มีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่พบในบางท้องถิ่น เช่น White Birch หรือ Poplar Birch

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิดของ Gray Birch

ต้น Gray Birch หรือ Betula populifolia มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาและบางพื้นที่ในแคนาดา พบได้มากในรัฐเมน นิวแฮมป์เชียร์ และเวอร์มอนต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็นและชื้น ไม้ Gray Birch มีการกระจายพันธุ์กว้างและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมถึงสภาพดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ

Gray Birch มักเติบโตในพื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงโดยตรง และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่เคยถูกบุกรุกหรือเผาทำลาย เนื่องจากมีความสามารถในการปรับตัวและเติบโตได้เร็ว ต้นไม้ชนิดนี้มักพบในพื้นที่ที่เป็นป่าผสมหรือป่าเปิด ซึ่งเป็นลักษณะของป่าทุติยภูมิที่เกิดขึ้นหลังจากการฟื้นฟูของป่าที่ถูกทำลาย

ขนาดและลักษณะของต้น Gray Birch

ต้น Gray Birch เป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง โดยสามารถเติบโตได้สูงประมาณ 9-12 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นอยู่ที่ประมาณ 15-30 เซนติเมตร ต้นไม้ชนิดนี้มีลักษณะลำต้นที่บางและเรียว เปลือกไม้มีสีขาวอมเทา และมีความเรียบเนียน มีลักษณะเป็นลายเส้นสีดำตามแนวขอบของเปลือก ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้ดูโดดเด่นในป่า

ใบของต้น Gray Birch มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมและมีขนาดเล็กกว่าต้น Birch ชนิดอื่น ใบมีสีเขียวอ่อนและมีขอบหยัก เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนซึ่งเป็นจุดเด่นของต้นไม้ชนิดนี้ นอกจากนี้ เนื้อไม้ของ Gray Birch ค่อนข้างเบา มีเนื้อสัมผัสที่เนียนเรียบ และมีสีขาวนวล ทำให้เหมาะสำหรับการนำไปใช้งานในงานไม้ที่ต้องการความเบาและลักษณะเฉพาะของเนื้อไม้

ประวัติศาสตร์และการใช้ประโยชน์ของ Gray Birch

ไม้ Gray Birch ถูกนำมาใช้ในงานไม้พื้นฐานมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา โดยชนพื้นเมืองและชาวยุโรปนำมาใช้ในงานสร้างบ้านและเครื่องมือพื้นฐาน เนื่องจากไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตเร็วและหาได้ง่าย Gray Birch ถูกใช้ในการทำถ่านไม้สำหรับเชื้อเพลิง และยังถูกใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องการเนื้อไม้ที่เบา เช่น ลังไม้และกล่องบรรจุภัณฑ์

นอกจากนี้ ไม้ Gray Birch ยังถูกนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งบ้าน เช่น ตู้ โต๊ะ และเก้าอี้ เนื่องจากมีลวดลายที่เรียบง่ายและให้ความรู้สึกอบอุ่น อีกทั้งยังสามารถขึ้นรูปได้ง่ายและมีเนื้อไม้ที่เนียนละเอียด นอกจากงานเฟอร์นิเจอร์แล้ว ไม้ Gray Birch ยังได้รับความนิยมในงานศิลปะเช่น การแกะสลักและการทำโมเดลไม้ เนื่องจากสามารถตัดแต่งได้ง่ายและมีลักษณะเนื้อไม้ที่ละเอียด

การอนุรักษ์และสถานะการคุ้มครองของ Gray Birch

เนื่องจากไม้ Gray Birch ไม่ได้เป็นไม้ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากนัก จึงไม่ได้รับการคุ้มครองในภาคผนวกของอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ไม้ Gray Birch ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกในเชิงอนุรักษ์เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศ

Gray Birch มีบทบาทในการสร้างป่าทุติยภูมิและช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในป่าที่เคยถูกบุกรุก ต้นไม้ชนิดนี้มักเป็นไม้พันธุ์บุกเบิกที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีการฟื้นฟูหลังจากการตัดไม้หรือตัดป่าเพื่อลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

นอกจากนี้ Gray Birch ยังมีความสำคัญต่อระบบนิเวศในแง่ของการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารให้กับสัตว์ป่า โดยเฉพาะนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กที่อาศัยในป่าผสมและป่าทุติยภูมิ การอนุรักษ์และการปลูกป่าทดแทนด้วยไม้ Gray Birch เป็นเรื่องสำคัญในบางพื้นที่เพื่อช่วยฟื้นฟูธรรมชาติและลดการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม

สรุป

ไม้ Gray Birch หรือ Betula populifolia เป็นไม้ที่มีความทนทานและเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ด้วยคุณสมบัติที่เบา แข็งแรง และสามารถเจริญเติบโตได้เร็ว ต้นไม้ชนิดนี้จึงได้รับความนิยมในการใช้งานพื้นฐานต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์พื้นฐานและการทำถ่านไม้ แม้ว่าไม้ Gray Birch จะไม่ได้เป็นไม้ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่ยังคงมีความสำคัญในแง่ของการฟื้นฟูสภาพป่าและการเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในธรรมชาติ การปลูกไม้ Gray Birch ทดแทนในพื้นที่ที่มีการตัดไม้และการสร้างป่าทุติยภูมิเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยั่งยืนของธรรมชาติและสภาพแวดล้อม

Downy birch

ต้น Downy Birch หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betula pubescens เป็นไม้ยืนต้นในตระกูลเบิร์ช (Betulaceae) ที่มีถิ่นกำเนิดในยุโรปตอนเหนือและเอเชียเหนือ โดยต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น White Birch, European White Birch, Hairy Birch และ Moose Birch ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป Downy Birch มีลักษณะเฉพาะด้วยใบรูปไข่และเปลือกที่เรียบมันและสีขาวเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ทำให้สามารถจดจำได้ง่าย

บทความนี้จะกล่าวถึง ลักษณะทั่วไปของต้น Downy Birch, ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด, ขนาดและอายุการเจริญเติบโต, ประวัติศาสตร์ของต้น Downy Birch, การอนุรักษ์, และ สถานะไซเตส (CITES) ซึ่งเป็นองค์กรที่กำหนดสถานะการคุ้มครองของพืชและสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

ลักษณะทั่วไปของต้น Downy Birch

ต้น Downy Birch มีขนาดกลาง สูงประมาณ 10-20 เมตร (33-66 ฟุต) โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นที่ 1 เมตร เปลือกของมันเรียบและมีสีขาวอมเทา ซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น แตกกิ่งก้านมีขนละเอียดปกคลุมที่ช่วยป้องกันลมหนาวในฤดูหนาว และใบมีลักษณะรูปไข่ค่อนข้างกลม มีขอบใบหยักเล็กน้อย และเปลี่ยนสีเป็นเหลืองทองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

นอกจากนี้ Downy Birch ยังมีระบบรากที่แข็งแรงทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น ดินเปียกและเย็นจัด หรือดินที่มีค่าความเป็นกรดสูง พืชชนิดนี้มักพบในพื้นที่ทุ่งหญ้าหนาวหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ มีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว สามารถเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ต้น Downy Birch มีถิ่นกำเนิดในแถบยูเรเซียตอนเหนือ ซึ่งพบมากในยุโรปเหนือ ตั้งแต่สหราชอาณาจักร สแกนดิเนเวีย รัสเซีย ไปจนถึงพื้นที่เขตไซบีเรีย โดยเฉพาะในเขตอาร์กติกที่สามารถปรับตัวให้ทนทานต่อความหนาวเย็นจัดของภูมิอากาศได้อย่างดี ทำให้เป็นพืชที่พบได้บ่อยในเขตไทก้า (Taiga) ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าทางตอนเหนือของยุโรปและเอเชียที่มีสภาพภูมิอากาศเย็นจัดและยากที่จะปลูกพืชชนิดอื่น

นอกจากนี้ Downy Birch ยังมีการแพร่กระจายไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งพบได้ในบางพื้นที่ที่มีสภาพอากาศคล้ายคลึงกัน เช่น อลาสก้าและแคนาดา เป็นต้น

ขนาดและอายุการเจริญเติบโต

ต้น Downy Birch มีอายุการเจริญเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 60-80 ปี บางต้นอาจมีอายุยืนถึง 100 ปีหากสภาพแวดล้อมเหมาะสม ต้นไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตได้เร็ว โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีแรก และสามารถเจริญเติบโตสูงได้ถึง 1 เมตรต่อปี ขนาดของต้นอาจแตกต่างไปตามสภาพแวดล้อมและสภาพดิน โดยเฉลี่ยต้น Downy Birch จะมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร

ประวัติศาสตร์ของต้น Downy Birch

Downy Birch มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในหลายประเทศในยุโรปเหนือและเอเชีย ในอดีตต้นไม้ชนิดนี้ถูกนำมาใช้ประโยชน์หลากหลาย ด้านวัฒนธรรมมีการใช้เปลือกไม้มาทำเป็นของใช้ เครื่องจักสาน และกระดาษ ส่วนด้านอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ไม้ Downy Birch ถูกนำมาใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือน เช่น เก้าอี้ โต๊ะ เนื่องจากมีเนื้อไม้ที่แข็งแรงและมีลวดลายสวยงาม

ในด้านการแพทย์พื้นบ้าน เปลือกและใบของ Downy Birch ถูกนำมาใช้ทำยาเพื่อลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวดตามข้อต่าง ๆ น้ำมันจากเปลือกไม้นี้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณอีกด้วย

การอนุรักษ์ต้น Downy Birch

แม้ Downy Birch จะไม่จัดเป็นไม้ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่การตัดไม้เพื่อการค้าและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการกระจายตัวของต้นไม้ชนิดนี้ การอนุรักษ์ Downy Birch จึงเป็นสิ่งสำคัญในบางประเทศ เช่น ฟินแลนด์ สวีเดน และรัสเซีย ซึ่งมีการสร้างพื้นที่อนุรักษ์และสวนป่าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางอุตสาหกรรมและลดการทำลายธรรมชาติ

ในสหราชอาณาจักรและประเทศในยุโรปอื่น ๆ มีการอนุรักษ์พื้นที่ป่าตามธรรมชาติที่มีต้น Downy Birch ขึ้นอยู่ และมีการวิจัยเกี่ยวกับการปลูกและรักษาพันธุ์พืชชนิดนี้เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมีการส่งเสริมการใช้ไม้ที่มาจากแหล่งปลูกยั่งยืนเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าธรรมชาติ

สถานะไซเตส (CITES) ของต้น Downy Birch

ปัจจุบัน Downy Birch ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีของอนุสัญญาไซเตส (CITES) เนื่องจากไม่ได้เป็นพืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ แต่นับว่าเป็นพันธุ์ไม้ที่มีความสำคัญและควรเฝ้าระวัง เนื่องจากมีการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย ทำให้ในบางประเทศมีกฎระเบียบในการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากต้นไม้ชนิดนี้ เพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าที่ไม่ยั่งยืนและรักษาสมดุลของระบบนิเวศ

ความสำคัญทางนิเวศวิทยา

Downy Birch มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศในแถบยุโรปและเอเชียเหนือ เพราะเป็นต้นไม้ที่สามารถทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็นจัดและช่วยปรับสภาพดินเพื่อเตรียมให้พืชอื่น ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ มันยังเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด เช่น กวาง อีลค์ และกระต่าย ซึ่งใช้ใบและเปลือกเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดเล็ก เช่น นกและแมลงต่าง ๆ ที่พึ่งพาต้น Downy Birch เป็นที่หลบภัย

การตัดไม้ที่มากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในเขตหนาวจัดนี้ ดังนั้น การรักษาป่าที่มีต้นไม้ชนิดนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก

Doi

ไม้ Doi หรือที่เรียกกันว่า "Doi tree" ในภาษาอังกฤษ เป็นไม้ที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตภูเขาและพื้นที่ป่าเขตร้อน ในบทความนี้จะกล่าวถึงไม้ Doi จากหลากหลายมุมมอง ตั้งแต่ที่มา แหล่งกำเนิด ขนาดของต้น ประวัติศาสตร์ของไม้ Doi การอนุรักษ์ จนถึงสถานะไซเตส (CITES) โดยหวังว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาและการอนุรักษ์ต้นไม้ชนิดนี้

ที่มาของไม้ Doi และแหล่งต้นกำเนิด

ไม้ Doi หรือที่บางครั้งเรียกว่า ไม้ป่าดอย หรือ ไม้ท้องถิ่น เป็นไม้ที่พบในพื้นที่ภูเขาของไทย โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือที่มีภูมิประเทศที่มีอากาศเย็นและชื้น ซึ่งเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของไม้ชนิดนี้ พื้นที่ที่มีชื่อเสียงในการพบไม้ Doi คือ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และบางส่วนของจังหวัดน่าน

ไม้ Doi มีลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่สูง โดยทั่วไปแล้วต้นไม้ชนิดนี้สามารถพบได้ในระดับความสูง 800-2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็นและฝนตกชุกตลอดปี

นอกจากประเทศไทยแล้ว ไม้ Doi ยังพบได้ในประเทศเพื่อนบ้านบางแห่ง เช่น ลาว พม่า และเวียดนามในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีป่าเขตร้อนและป่าเขาเตี้ย สภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทำให้ไม้ชนิดนี้สามารถเติบโตได้ดีในหลายๆ แหล่งที่อยู่อาศัย

ขนาดของต้น Doi

ต้นไม้ Doi เป็นไม้ยืนต้นที่มีความสูงที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอายุของต้น โดยทั่วไปแล้วต้น Doi จะมีความสูงระหว่าง 10-30 เมตร และบางต้นสามารถสูงได้ถึง 40 เมตรในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ลำต้นมักจะมีขนาดใหญ่และเปลือกไม้หนา ซึ่งช่วยให้ต้นไม้มีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง

ลำต้นของไม้ Doi มีเปลือกที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนถึงสีเทา ซึ่งจะมีรอยแตกและรอยแยกที่ช่วยในการระบายอากาศและป้องกันการสะสมของความชื้นในระหว่างที่ฝนตกหนักและมีความชื้นสูง

ใบของต้น Doi มักจะมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปวงรี มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และมักจะมีสีเขียวเข้ม เมื่อโตเต็มที่ ต้นไม้ชนิดนี้มักจะออกดอกในช่วงฤดูฝน โดยดอกไม้จะมีสีขาวหรือสีเหลือง ซึ่งทำให้ต้น Doi เป็นไม้ที่มีความสวยงามและโดดเด่นในธรรมชาติ

ประวัติศาสตร์ของไม้ Doi

ไม้ Doi เป็นต้นไม้ที่มีความสัมพันธ์กับผู้คนในพื้นที่ภูเขามานานหลายศตวรรษ โดยเฉพาะในชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าเขาและภูเขา เช่น ชาวเขาเผ่าม้ง (Hmong), ลาหู่ (Lahu), และไทใหญ่ (Shan) พวกเขาใช้ไม้ Doi ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย เช่น หลังคากระท่อมและสร้างเครื่องมือในการทำการเกษตร

ไม้ Doi ยังมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเกษตรกรรม เนื่องจากมันช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินและช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นในดิน ทำให้การปลูกพืชในพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ไม้ Doi ยังเป็นแหล่งอาหารและที่หลบภัยสำหรับสัตว์ป่าในพื้นที่ภูเขา

ในอดีต ไม้ Doi ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายทั้งในด้านวัสดุก่อสร้างและการผลิตเครื่องมือทำการเกษตร แต่ในปัจจุบัน การใช้ไม้ชนิดนี้ในด้านต่างๆ ได้ลดลง เนื่องจากความต้องการทรัพยากรธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นและการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ที่ไม่ยั่งยืน

การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES) ของไม้ Doi

สถานะการอนุรักษ์ของไม้ Doi ยังไม่ได้รับการจัดเป็นไม้ที่มีสถานะ "ใกล้สูญพันธุ์" หรือ "เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์" ภายใต้อนุสัญญาไซเตส (CITES) อย่างไรก็ตาม ไม้ Doi กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการขยายตัวของการเกษตรและการทำลายป่าเพื่อการพัฒนา ทั้งนี้การทำลายป่าในพื้นที่ที่ไม้ Doi เติบโตอาจทำให้จำนวนต้นไม้ลดลง และเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวม

ในการอนุรักษ์ไม้ Doi จำเป็นต้องมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการส่งเสริมการปลูกป่าในพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น การปลูกไม้ Doi ร่วมกับการปลูกพืชชนิดอื่นๆ เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย นอกจากนี้ การสร้างพื้นที่คุ้มครองและเขตป่าตามธรรมชาติยังมีความสำคัญในการรักษาที่อยู่อาศัยของต้นไม้ชนิดนี้

การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับไม้ Doi ก็มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ต้นไม้ชนิดนี้ โดยนักวิจัยสามารถใช้ข้อมูลในการพัฒนาแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ที่มีการปลูกไม้ Doi เพื่อลดความเสี่ยงจากการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ

ชื่ออื่น ๆ ของไม้ Doi

ไม้ Doi มีชื่ออื่นๆ ที่เรียกกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้แก่:

  • ไม้ป่าดอย (ชื่อที่ใช้ในภาคเหนือของไทย)
  • Doi tree (ชื่อทั่วไปในภาษาอังกฤษ)
  • Hill tree (บางครั้งเรียกตามลักษณะภูมิประเทศที่ไม้ชนิดนี้เติบโต)
  • Eucalyptus Doi (บางแหล่งใช้ชื่อวิทยาศาสตร์นี้ในการระบุต้นไม้)

ชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงแหล่งที่อยู่อาศัยและลักษณะของต้นไม้ ซึ่งทำให้สามารถระบุและแยกแยะไม้ Doi จากไม้ชนิดอื่นได้อย่างชัดเจน

Cheese

ไม้ Cheese (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gmelina arborea) หรือที่รู้จักกันในชื่ออื่น ๆ เช่น ไม้ก้ามปู หรือ ไม้กามีน่า เป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกา โดยเฉพาะในด้านการปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจ, การใช้ทำเฟอร์นิเจอร์, และวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมในงานด้านการป่าไม้เชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ไม้ชนิดนี้มีชื่อเสียงในหลายประเทศ เช่น อินเดีย, ไทย, มาเลเซีย, และในบางส่วนของแอฟริกาใต้

ที่มาของไม้ Cheese และแหล่งต้นกำเนิด

ไม้ Cheese หรือ Gmelina arborea เป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินเดีย, ศรีลังกา, และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาตะวันตก ต้นไม้ชนิดนี้มักเติบโตในเขตป่าโปร่งที่มีการระบายน้ำดีและดินที่มีความชุ่มชื้น โดยสามารถพบต้น Cheese ได้ในพื้นที่ภูมิประเทศเขตร้อนที่มีอากาศร้อนและชื้น

แม้จะมีถิ่นกำเนิดในเอเชียและแอฟริกา, ไม้ Cheese ก็ได้รับการปลูกในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและสามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย มันได้รับการปลูกในหลายภูมิภาคในฐานะไม้เศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง

ขนาดของต้น Cheese

ไม้ Cheese เป็นไม้ที่มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ โดยสามารถเติบโตสูงได้ถึง 30 เมตร หรือบางต้นอาจสูงถึง 40 เมตรในบางกรณี โดยปกติแล้วต้นไม้ชนิดนี้จะมีลำต้นตรงและเป็นทรงกระบอก ลำต้นสามารถมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับอายุและสภาพแวดล้อมที่มันเติบโต

ใบของต้น Cheese มีขนาดกลางถึงใหญ่ รูปร่างเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ซึ่งมักจะมีสีเขียวเข้ม เมื่อปลิดใบออกมาจะเห็นว่ามีขอบใบหยักเล็กน้อย และสามารถทิ้งใบในฤดูหนาวหรือเมื่อมีการขาดน้ำ นอกจากนี้ไม้ Cheese ยังมีดอกสีขาวหรือเหลืองที่มีลักษณะคล้ายกับดอกไม้ในตระกูลบานไม่รู้โรย

ประวัติศาสตร์ของไม้ Cheese

ไม้ Cheese หรือ Gmelina arborea ได้รับการใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา โดยเริ่มต้นจากการใช้ไม้ในงานก่อสร้างและการทำเครื่องมือพื้นบ้าน เนื่องจากลักษณะของไม้ที่มีความทนทานและสามารถตัดแต่งได้ง่าย จึงถูกนำมาใช้ในการสร้างบ้าน, อาคาร, หรือแม้กระทั่งเรือไม้ในบางพื้นที่

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา, ไม้ Cheese ได้รับความนิยมในการปลูกเป็นไม้เศรษฐกิจในหลายประเทศ เนื่องจากมีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและสามารถใช้งานได้ในหลายด้าน ทั้งในด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์, การทำวัสดุก่อสร้าง, และงานไม้ตกแต่ง

จากการปลูกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม้ Cheese ได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจและเกษตรกรในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอินเดียและไทยที่เริ่มมีการปลูกไม้ชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อผลิตไม้ที่มีคุณภาพดีสำหรับการใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง

การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES) ของไม้ Cheese

แม้ว่าไม้ Cheese หรือ Gmelina arborea จะไม่ถูกจัดเป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องการการอนุรักษ์แบบเข้มงวดตามกฎหมาย CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) แต่ก็ยังคงต้องมีการดูแลในเรื่องของการเก็บเกี่ยวและการปลูกในเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน

ในหลายประเทศที่มีการปลูกไม้ Cheese เป็นจำนวนมาก การควบคุมการเก็บเกี่ยวไม้และการปลูกใหม่เป็นสิ่งสำคัญในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและป่าไม้ ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าไม้นี้จะไม่ถูกทำลายไปจากการตัดไม้มากเกินไปและสามารถคงอยู่ในธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน

การอนุรักษ์ไม้ Cheese ยังเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการปลูกป่าชุมชนและการจัดการป่าไม้ให้มีความสมดุลในการใช้ประโยชน์จากไม้ โดยการปลูกป่าใหม่และการส่งเสริมให้เกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาป่าไม้ของตน

ชื่ออื่น ๆ ของไม้ Cheese

ไม้ Cheese หรือ Gmelina arborea มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและประเทศ โดยชื่อที่พบได้บ่อยของไม้ชนิดนี้ ได้แก่:

  • ไม้ก้ามปู (ชื่อเรียกในไทย)
  • Gmelina (ชื่อที่ใช้ในภาษาอังกฤษ)
  • ต้น Cheese (ชื่อที่ใช้ทั่วไปในหลายประเทศ)
  • ไม้กามีน่า (ในบางพื้นที่ของเอเชียใต้)
  • White Beech (ชื่อที่ใช้ในบางประเทศ)
  • Chikoo (ในบางพื้นที่ของอินเดีย)

ชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของต้นไม้ และบางชื่ออาจมาจากการใช้งานของไม้ในอดีต เช่น การใช้ไม้ในงานสร้างบ้านหรือใช้ทำเครื่องมือพื้นบ้าน

การใช้ประโยชน์ของไม้ Cheese

ไม้ Cheese หรือ Gmelina arborea มีการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายทั้งในด้านการก่อสร้าง, เฟอร์นิเจอร์, และวัสดุตกแต่ง เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีลักษณะเบาแต่แข็งแรง ซึ่งทำให้เหมาะสมในการใช้งานในหลายด้าน

  • งานก่อสร้าง: เนื่องจากมีความแข็งแรงและทนทานต่อการสึกหรอ ไม้ Cheese จึงนิยมใช้ในการก่อสร้างบ้าน อาคาร หรือแม้กระทั่งงานสร้างทางรถไฟ
  • เฟอร์นิเจอร์: ไม้ Cheese เป็นไม้ที่สามารถแปรรูปได้ดี สามารถใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา
  • งานตกแต่ง: เนื่องจากเนื้อไม้มีสีสวยและละเอียด ไม้ Cheese จึงนิยมใช้ในการทำงานตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคาร
  • ไม้สำหรับผลิตเยื่อกระดาษ: เนื่องจากมีเนื้อไม้ที่ละเอียดและง่ายต่อการแปรรูป ไม้ Cheese ยังถูกนำมาใช้ผลิตเยื่อกระดาษ

Bamboo

ไม้ไผ่ (Bamboo) เป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์หญ้า (Poaceae) ที่มีคุณลักษณะพิเศษและเป็นที่รู้จักทั่วโลก มักถูกเรียกอีกชื่อว่า “ต้นไม้มหัศจรรย์” ด้วยการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและประโยชน์หลากหลาย ไผ่มีการใช้ประโยชน์ทั้งด้านการบริโภค อุตสาหกรรม และสถาปัตยกรรมในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ชื่ออื่น ๆ ที่ใช้เรียกไม้ไผ่ในพื้นที่ต่าง ๆ อาทิเช่น “Bambusa” ในชื่อวิทยาศาสตร์ และ “Chinese Bamboo” ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมเรียกในแถบเอเชียตะวันออก

แหล่งกำเนิดและแหล่งที่อยู่ทางภูมิศาสตร์

ไม้ไผ่มีถิ่นกำเนิดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่น ไทย และอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายของพันธุ์ไม้ไผ่มากที่สุด นอกจากนี้ ไม้ไผ่ยังสามารถพบได้ในเขตร้อนและเขตกึ่งเขตร้อนทั่วโลก ตั้งแต่ทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งนี้ เนื่องจากไม้ไผ่สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศที่หลากหลาย มันจึงเป็นพืชที่สามารถปรับตัวได้ดีในหลายพื้นที่

ขนาดและลักษณะทางกายภาพของไม้ไผ่

ไม้ไผ่มีขนาดและรูปร่างที่หลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กที่สูงเพียง 1-2 เมตรไปจนถึงไผ่ขนาดใหญ่ที่สูงได้ถึง 30 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรจนถึงเกือบ 30 เซนติเมตร ส่วนต่าง ๆ ของไม้ไผ่ประกอบด้วยข้อและปล้องซึ่งเชื่อมต่อกันอย่างแข็งแรง ลำต้นมีโครงสร้างที่กลวง แต่แข็งแรงมาก ความโดดเด่นของไม้ไผ่อยู่ที่ความสามารถในการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว บางชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ถึง 91 เซนติเมตรต่อวัน ซึ่งทำให้ไม้ไผ่เป็นพืชที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ ไม้ไผ่ยังสามารถเจริญเติบโตใหม่จากรากเดิม ทำให้ไม่ต้องใช้วิธีการปลูกใหม่เหมือนต้นไม้ชนิดอื่น

ประวัติศาสตร์และการใช้งานของไม้ไผ่

ไม้ไผ่ถูกใช้ประโยชน์มานานนับพันปี โดยเฉพาะในแถบเอเชียที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิต เช่น การใช้เป็นเครื่องมือในการก่อสร้างบ้านเรือน อุปกรณ์ในครัวเรือน เครื่องจักสาน รวมถึงเป็นวัตถุดิบในการทำกระดาษ ข้อดีของไม้ไผ่คือความคงทนต่อแรงกระแทกและการพับงอ จึงมักถูกนำมาใช้สร้างสะพาน บันได หรือพื้นฐานโครงสร้างในการก่อสร้างในพื้นที่ชนบท

การใช้งานด้านอาหารและยา

ไม้ไผ่มีการใช้ประโยชน์ทางอาหารในส่วนของหน่อไผ่ที่เป็นที่นิยม หน่อไม้สดหรือหน่อไม้กระป๋องที่เห็นในท้องตลาดมีรสชาติอร่อยและเป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด ในด้านการแพทย์พื้นบ้าน สมุนไพรจากไผ่ถูกใช้ในการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น บรรเทาอาการปวด และใช้สมานแผล

การใช้งานในอุตสาหกรรมสมัยใหม่

ปัจจุบันไม้ไผ่กลายเป็นวัสดุที่นิยมในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การทำพื้นไม้ไผ่ แผ่นไม้ไผ่ และกระดาษ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเส้นใยธรรมชาติที่ผลิตผ้า เช่น เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยไผ่ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันแบคทีเรียและระบายอากาศได้ดี

การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES)

เนื่องจากไม้ไผ่มีความสามารถในการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและฟื้นฟูตัวเองได้ดี ทำให้ไม้ไผ่หลายชนิดไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพันธุ์ไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม มีบางชนิดที่อยู่ในสภาวะถูกคุกคามจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย และการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้น ไซเตส (CITES) หรืออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ได้มีการเฝ้าระวังไม้ไผ่บางชนิด เพื่อให้มีการบริหารจัดการและอนุรักษ์ไม้ไผ่ที่ยั่งยืน

Alder leaf birch

ต้น Alder Leaf Birch ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อเสียงในวงการพฤกษศาสตร์ เนื่องจากมีลักษณะเด่นและประโยชน์ที่หลากหลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betula alnoides และเป็นที่รู้จักในชื่ออื่นๆ เช่น East Himalayan Birch, Indian Birch, หรือ Southeast Asian Birch ซึ่งสะท้อนถึงแหล่งกำเนิดของต้นไม้ชนิดนี้ที่กระจายอยู่ในแถบภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย เช่น ประเทศไทย อินเดีย จีน และภูฏาน เป็นต้น ไม้ชนิดนี้มักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านเรือน เครื่องมือ เครื่องประดับ รวมถึงการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรในบางประเทศ ทำให้ต้นไม้ชนิดนี้มีคุณค่าและความสำคัญมากขึ้นในเชิงเศรษฐกิจและการแพทย์แผนโบราณ

ที่มาและแหล่งต้นกำเนิด

ต้น Alder Leaf Birch นั้นมีแหล่งกำเนิดในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและเขตอบอุ่น บริเวณภูเขาสูงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมถึงภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บริเวณรัฐอัสสัมของอินเดีย เนปาล ภูฏาน และบางส่วนของมณฑลยูนนานในประเทศจีน ต้นไม้ชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นสูง และพื้นที่ที่มีอุณหภูมิปานกลางถึงเย็น ทำให้บริเวณภูเขาและพื้นที่ที่มีระดับความสูงเป็นที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้น Betula alnoides โดยเฉพาะ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และขนาดของต้น Alder Leaf Birch

Betula alnoides เป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดใหญ่ โดยสามารถเติบโตได้สูงถึง 30-40 เมตร มีลำต้นตรง เปลือกของต้นมีสีเทาหรือเทาอมน้ำตาลที่เป็นเอกลักษณ์ โดยลักษณะของเปลือกจะบางและมักจะลอกเป็นแผ่นเล็กๆ ใบของต้น Alder Leaf Birch มีลักษณะเรียวยาวและโคนใบกว้างคล้ายใบของต้นอัลเดอร์ (Alder) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพฤกษศาสตร์ของมัน นอกจากนี้ยังมีดอกขนาดเล็กที่ออกเป็นช่อในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ป่าหลายชนิด

ประวัติศาตร์และการใช้ประโยชน์ของไม้ Alder Leaf Birch

การใช้ประโยชน์จากไม้ Betula alnoides ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมาอย่างยาวนาน เนื่องจากคุณสมบัติของไม้ที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศและความชื้นสูง ไม้ชนิดนี้จึงถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์อย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ ไม้ของ Betula alnoides ยังถูกใช้ทำเครื่องดนตรี เครื่องใช้ประจำบ้าน และงานฝีมือที่มีความละเอียดสูง ในแง่ของสมุนไพรและการแพทย์แผนโบราณ เปลือกไม้และใบของ Betula alnoides ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ เช่น การลดไข้ บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ และช่วยในการสมานแผล ทำให้ต้นไม้นี้มีคุณค่าทางการแพทย์ในหลายวัฒนธรรมในเอเชีย

การอนุรักษ์และสถานะไซเตส (CITES)

ต้น Betula alnoides ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพืชที่ต้องมีการอนุรักษ์ เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากไม้ชนิดนี้อย่างไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การลดจำนวนของต้นไม้ในธรรมชาติ ปัจจุบัน การตัดไม้และการเกษตรในพื้นที่ป่าที่เป็นถิ่นกำเนิดของไม้ Alder Leaf Birch เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของต้นไม้ชนิดนี้ องค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโลก หรือ CITES ได้ให้ความสนใจในการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ชนิดนี้ โดยการกำหนดให้เป็นชนิดพืชที่จำเป็นต้องมีการควบคุมการค้าขายและการนำเข้า-ส่งออก เพื่อให้แน่ใจว่าไม้ชนิดนี้จะไม่ถูกลักลอบนำไปใช้อย่างเกินควร รัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ไทย จีน และอินเดีย ได้มีมาตรการในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าที่มีไม้ Alder Leaf Birch ขึ้นอยู่ และสนับสนุนโครงการปลูกป่าทดแทน เพื่อให้ทรัพยากรนี้คงอยู่ต่อไปในอนาคต

ความสำคัญทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์

เนื่องจากคุณค่าเชิงพาณิชย์ของไม้ Betula alnoides ที่สูง มีหลายประเทศเริ่มพิจารณาการปลูกและจัดการป่าที่มีไม้ชนิดนี้อยู่ในความควบคุมเพื่อให้เกิดการใช้อย่างยั่งยืน การปลูกป่าและการควบคุมการตัดไม้ที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการสูญพันธุ์ของไม้ชนิดนี้ ในทางกลับกัน การปลูก Betula alnoides เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฟื้นฟูป่าไม้ในหลายพื้นที่ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากต้นไม้ชนิดนี้ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนิเวศและสามารถฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกทำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Alaska paper birch

ที่มาและแหล่งกำเนิดของไม้ Alaska Paper Birch

ต้น Alaska Paper Birch (หรือในชื่อวิทยาศาสตร์ Betula neoalaskana) เป็นไม้ยืนต้นในสกุล Birch (เบิร์ช) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบอาร์กติกและพื้นที่ป่าไม้ในอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะบริเวณอลาสก้า (Alaska) แคนาดา และส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ต้นไม้ชนิดนี้ยังเรียกได้อีกหลายชื่อในแต่ละพื้นที่ เช่น Alaskan Birch, White Birch, Paper Birch เป็นต้น การเจริญเติบโตของไม้ Birch ในสภาพอากาศหนาวเย็นทำให้มันมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง จึงเป็นไม้ที่พบได้ทั่วไปในภูมิประเทศที่อุณหภูมิหนาวเย็น

ลักษณะทางกายภาพของต้น Alaska Paper Birch

ต้น Alaska Paper Birch มีลำต้นที่สูงประมาณ 12-20 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่มันเจริญเติบโต โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 30-60 เซนติเมตร เปลือกของไม้มีลักษณะบางและลอกออกเป็นชั้น ซึ่งลักษณะนี้เองทำให้เกิดชื่อ "Paper Birch" เปลือกของต้นอาจมีสีขาวอมชมพูหรือขาวอมเทา เป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดความสนใจ และมีการใช้เปลือกของไม้ชนิดนี้ในการทำเครื่องใช้ต่างๆ ใบของไม้ชนิดนี้มีลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดเล็ก สีเขียวเข้มในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ป่าในพื้นที่ที่มีไม้ Birch ขึ้นอยู่นั้นดูงดงาม

ประวัติศาสตร์ของไม้ Alaska Paper Birch

ในอดีต เปลือกของ Alaska Paper Birch ถูกนำมาใช้ประโยชน์โดยชนพื้นเมืองในแถบอเมริกาเหนือ ไม่ว่าจะเป็นการทำเรือเปลือกไม้ (Canoe) ภาชนะบรรจุอาหาร และเครื่องใช้ในครัวเรือน เนื่องจากเปลือกไม้มีความเบาและกันน้ำได้ดี การทำเครื่องมือจากเปลือกไม้ Birch จึงกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ไม้ของ Alaska Paper Birch ยังถูกนำมาใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์ไม้ทั่วไป เนื่องจากมีลักษณะไม้ที่แข็งแรงและเบาเหมาะสำหรับงานไม้หลากหลายประเภท ไม้ Birch ยังเป็นที่นิยมในการใช้เป็นไม้เชื้อเพลิงเนื่องจากให้ความร้อนสูงและติดไฟง่าย

การอนุรักษ์และสถานะไซเตสของไม้ Alaska Paper Birch

เนื่องจาก Alaska Paper Birch เป็นพืชพื้นเมืองในแถบอาร์กติก สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเจริญเติบโตของไม้ชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไม้ Birch ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ใกล้จะสูญพันธุ์และยังไม่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษภายใต้อนุสัญญาไซเตส (CITES - Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) แต่ก็มีความสำคัญในการรักษาพื้นที่ป่าไม้ดั้งเดิมและการควบคุมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อให้เกิดความยั่งยืนการอนุรักษ์ไม้ Birch จึงเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์พื้นที่ป่าพื้นเมืองในอลาสก้าและแคนาดา เพื่อลดผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจจะกระทบต่อการเจริญเติบโตของไม้ชนิดนี้ในระยะยาว

บทสรุป

Alaska Paper Birch หรือ Betula neoalaskana เป็นไม้ที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจในภูมิภาคอาร์กติกและอเมริกาเหนือ ด้วยความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพอากาศหนาวเย็นและการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ไม้ชนิดนี้จึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญทั้งในการทำเครื่องใช้พื้นบ้าน การใช้เป็นเชื้อเพลิง และในปัจจุบันยังเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดมายาวนาน ซึ่งไม้ Birch มีบทบาทสำคัญในสังคมดั้งเดิม รวมทั้งเป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความงามตามธรรมชาติของป่าอลาสก้าและภูมิภาคอาร์กติก

Monkey puzzle

ชื่อสามัญ: Monkey puzzle, Chilean pine

ชื่อวิทยาศาสตร์: Araucaria araucana

ถิ่นกำเกิด: ชิลีและอาร์เจนตินา ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย

ความสูงลำต้น: 65-115 ฟุต( 20-35 ม.)

เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น:   3-5 ฟุต(1-1.5 ม.)

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย: 33.4 lbf/ft 3 (535 kg/m 3 )

ความถ่วงเฉพาะ : 0.46, .54

ความแข็ง : 400 lbf (1,780 N)

การแตกหัก : 13,961 lbf/in 2 (96.3 Mpa)

การยืดหยุ่น: 1,678,000 lbf/in 2 (11.57 Gpa)

ความสามารถในการบด: 6,310 lbf /in 2 (43.5 Mpa)

การหดตัว: Radial: 5.0%, Tangential: 6.9%,

Volumetric: 10.9%, T/R Ratio: 1.4

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต

kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: แก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อน บางครั้งมีสีเหลืองหรือแดง กระพี้ซีดไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน บางครั้งอาจมีคราบเชื้อราสีน้ำเงิน/เทา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม้ที่ไม่แห้ง

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:  เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง มีเนื้อละเอียดถึงปานกลาง มีความมันวาวเป็นธรรมชาติปานกลาง

ความทนทาน: ได้รับการจัดอันดับว่าไม่คงทนต่อการเน่าเสียง่าย ความต้านทานต่อแมลงไม่ดี ไวต่อการย้อมสีของเชื้อรา

ความสามารถในการใช้: ส่วนที่ชัดเจนของไม้นั้นง่ายต่อการทำงานด้วยมือและเครื่องมือ ส่วนที่มีปมอาจเป็นปัญหาได้และส่งผลให้เกิดการฉีกขาดหรือการขัดที่ไม่สม่ำเสมอเนื่องจากความแตกต่างของความหนาแน่นของทั้งสองส่วน ใช้งานได้ดีกับงานกาว และงานกลึง

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว

การแพ้/ความเป็นพิษ: แม้ว่าจะเกิดปฏิกิริยาไม่รุนแรง แต่ก็มีรายงานว่าไม้ใน  สกุล Araucaria ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดูบทความ Wood Allergies และ Toxicity Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: การค้าไม้ Monkey puzzle ในระหว่างประเทศมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยไม่มีการตัดต้นไม้จากธรรมชาติ คาดว่าราคาจะสูงปานกลางสำหรับไม้เนื้ออ่อนในประเทศ

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้อยู่ใน CITES Appendix I (รวมถึงผลิตภัณฑ์จากไม้สำเร็จรูป) และอยู่ในบัญชีแดงของ IUCN มันถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากมีพื้นที่ตามธรรมชาติน้อยกว่า 500 ตารางกิโลเมตร (น้อยกว่า 193 ตารางไมล์) และ IUCN ยังประเมินว่าพื้นที่ดังกล่าวยังแยกส่วนและลดลงอย่างรุนแรง

การใช้งานทั่วไป: เฟอร์นิเจอร์ ไม้อัด กระดาษ (เยื่อกระดาษ) งานกลึง และวัตถุไม้ชนิดพิเศษขนาดเล็ก


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/monkey-puzzle/

Queensland Kauri

ชื่อสามัญ:  Queensland kauri

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Agathis robusta (and A. microstachya)

ถิ่นกำเนิด:  ประเทศออสเตรเลีย (รัฐควีนส์แลนด์)

ความสูงลำต้น: 100-130 ฟุต หรือ 30-40 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-7 ฟุต หรือ 1-2 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย: 29.3 lbf/ft3 (470 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.41, 0.47

ความแข็ง : 560 lbf (2,510 N)

การแตกหัก : 9,280 lbf/in2 (64.0 Mpa)

การยืดหยุ่น: 1,131,000 lbf/in2 (7.80 Gpa)

แรงอัดแตก:  5,510 lbf/in2 (38.0 Mpa)

การหดตัว: Radial: 3.5%, Tangential: 6.1%,

Volumetric: 9.7%, T/R Ratio: 1.7

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต

kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: แก่นไม้สีขาวอมเหลืองปนกระพี้ไม่แยกออกจากแก่นไม้อย่างชัดเจน ด้วยขนาด
ที่ใหญ่ของต้นไม้ ไม้จึงมีความเนียนและไม่มีปม สามารถเกิดคราบสีน้ำเงินได้ง่ายหากไม่ผ่านกระบวนการทำให้ไม้แห้งอย่างเหมาะสม

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้: เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง มีเนื้อละเอียด สม่ำเสมอ
และมีความมันเงาตามธรรมชาติในระดับปานกลาง

ความทนทาน: ได้รับการจัดอันดับว่าเน่าเสียง่ายเกี่ยวกับความต้านทานการสลายตัว

ความสามารถในการใช้: ความหนาแน่นในระดับปานกลางของไม้ พร้อมด้วยลายเสี้ยนที่ตรงและสม่ำเสมอทำให้สามารถใช้งานได้ดี การตัดเฉือนและการขึ้นรูปส่วนใหญ่สามารถทำได้ง่าย สามารถใช้กับกาวได้ดี

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะ

การแพ้/ความเป็นพิษ: นอกจากความเสี่ยงต่อสุขภาพตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นไม้ชนิดใดๆ แล้ว ยังไม่มีปฏิกิริยาทางสุขภาพเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับไม้ kauri  บทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: ในอดีตมีการตัดไม้ชนิดนี้ อย่างกว้างขวางในรัฐควีนส์แลนด์ แต่ปัจจุบันป่าส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครอง และปัจจุบันนี้ไม่มีการตัดหรือมีในเชิงพาณิชย์อีกต่อไป

ความยั่งยืน: ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES แต่มีรายงานโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ว่าอาจจะอยู่ในเกณฑ์
มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ หรือใกล้สูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้นี้

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, เฟอร์นิเจอร์, ตู้ไม้, ไม้วีเนียร์, เครื่องดนตรี (ไวโอลิน), และงานกลึง


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/queensland-kauri/

Rubberwood

ชื่อสามัญ:   Rubberwood, plantation hardwood, parawood, Malaysian oak

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Hevea brasiliensis

การกระจายพันธุ์: มีถิ่นกำเนิดในบราซิล แต่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนโดยเฉพาะในเอเชีย

ขนาดต้นไม้:  สูง 75-100 ฟุต หรือ 23-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 1-3 ฟุต หรือ 0.3-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:   37 lbf/ft3 (595 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.49, 0.59

ความแข็ง :   960 lbf (4,280 N)

การแตกหัก : 10,420 lbf/in2 (71.9 Mpa)

การยืดหยุ่น:  1,314,000lbf/in2 (9.07 Gpa)

แรงอัดแตก:  6,110 lbfd/in2 (42.1 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 2.3%, Tangential: 5.1%, Volumetric: 7.5%, T/R Ratio: 2.2

*หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต

kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ:  แก่นไม้ธรรมชาติเป็นสีบลอนด์อ่อนถึงสีแทนปานกลาง บางครั้งมีริ้วสีน้ำตาลกลาง กระพี้ไม่แตกต่างจากแก่นไม้ สีมีแนวโน้มที่จะเข้มขึ้นเล็กน้อยตามอายุ สีหรือรอยเปื้อนบ่อยครั้งเกิดขึ้นเมื่อใช้ในการก่อสร้างเฟอร์นิเจอร์

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:  เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง ผิวสัมผัสเนื้อไม้ค่อนข้างหยาบ ความมันวาวต่ำ

ความทนทาน: ไม้ยางพาราเน่าเสียง่ายและมีความต้านทานต่อการผุพังตามธรรมชาติน้อยมาก นอกจากนี้ยังไวต่อการติดสีของเชื้อราและการรุกรานของแมลง

ความสามารถในการใช้:  ใช้งานง่ายทั้งด้วยมือและเครื่องจักร ไม้ยางพารามีแนวโน้มที่จะบิดงอและบิดงอในการอบแห้ง ใช้งานได้ดีกับกาวและงานย้อมสี

กลิ่น: ไม้ยางพารามีกลิ่นเปรี้ยวที่ไม่พึงประสงค์ขณะทำงาน โดยเฉพาะไม้สด(ไม้ดิบ) ซึ่งจะจางลงเมื่อแห้ง

การแพ้/ความเป็นพิษ:  นอกจากความเสี่ยงต่อสุขภาพตามมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นไม้ชนิดใดๆ แล้ว ยังไม่มีปฏิกิริยาด้านสุขภาพเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับไม้ยางพาราโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการแพ้น้ำยางธรรมชาติหรือยางพาราอาจมีปฏิกิริยาต่อไม้ยางพารา  ดูบทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่:  ไม้ยางพารามักไม่ค่อยส่งออกในรูปของไม้ดิบ แต่ถูกนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ ห้องครัว และของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ แทน จากนั้นจึงส่งออกและขายที่อื่น

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List )ไม้ยางพารามักจะนำมาจากสวนยางที่ต้นไม้ถูกกรีดเป็นน้ำยาง และเก็บเกี่ยวไม้เมื่อสิ้นสุดที่เป็นประโยชน์ โดยทั่วไปหลังจากผ่านไปประมาณสามสิบปี

การใช้งานทั่วไป:  เฟอร์นิเจอร์, ตู้เก็บของ, ภายใน, เครื่องใช้ไม้ในครัว (เขียง, บล็อกมีด, ฯลฯ.) และสินค้าไม้พิเศษขนาดเล็ก


อ้างอิง
Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/rubberwood/

Persimmon

ชื่อสามัญ:  Persimmon, White Ebony

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Diospyros virginiana

การกระจายพันธุ์: ภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา

ขนาดต้นไม้: สูง 60-80 ฟุต หรือ 18-24 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 1-2 ฟุต หรือ 0.3-0.6 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  52 lbf/ft3 (835 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.74, 0.83

ความแข็ง :  2,300 lbf (10,230 N)

การแตกหัก : 17,700 lbf/in2 (122.1 Mpa)

การยืดหยุ่น:  2,010,000 lbf/in2 (13.86 Gpa)

แรงอัดแตก:  9,170 lbf/in2 (63.2 Mpa)

การหดตัว: Radial: 7.9%, Tangential: 11.2%, Volumetric: 19.1%, T/R Ratio: 1.4

*หน่วย
lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: กระพี้มีขนาดกว้างมากมีสีขาวถึงน้ำตาลเหลืองซีด สีมีแนวโน้มที่จะมืดลงตามอายุ แก่นไม้ที่บางมาก (ปกติกว้างน้อยกว่า 1 นิ้ว) มีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ คล้ายกับไม้ ebony (ไม้ Persimmon อยู่ในสกุลเดียวกัน Diospyros  เหมือนกับไม้ ebonies จริง)

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้: เสี้ยนเนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง โดยผิวสัมผัสเนื้อไม้หยาบปานกลาง

ความทนทาน: เนื่องจากไม้ Persimmon เกือบทั้งหมดเป็นกระพี้ จึงจัดอยู่ในประเภทที่เน่าเสียง่ายและไวต่อแมลงรุกราน

ความสามารถในการใช้: ความสามารถในการใช้การได้โดยรวมนั้นพอใช้ได้  ไม้ Persimmon โดยทั่วไปตอบสนองได้ดีกับเครื่องมือจักร แต่อาจทำได้ยากและทำให้คมตัดทื่อได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ใช้งานได้ดีในงานกลึง

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะ

การแพ้/ความเป็นพิษ:  มีรายงานว่าไม้ Persimmon ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ดูบทความ  Wood Allergies and Toxicity และ Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่:  ไม่มีจำหน่ายในรูปแบบไม้ทั่วไป ไม้ Persimmon อาจพบเห็นเป็นครั้งคราวในงานขนาดเล็กหรืองานกลึง คาดว่าราคาจะสูงสำหรับสายพันธุ์ในประเทศ

ความยั่งยืน:  ไม้ชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในสัญญาสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ CITES หรือความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List )

การใช้งานทั่วไป: งานกลึง หัวไม้กอล์ฟ แผ่นไม้อัด และรายการไม้พิเศษขนาดเล็ก


อ้างอิง
Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/persimmon/

Yellow birch

ชื่อสามัญ:  Yellow Birch

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Betula alleghaniensis

การกระจายพันธุ์:  อเมริกาเหนือตะวันออกเฉียงเหนือ

ขนาดต้นไม้: สูง 65-100 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  43 lbf/ft3 (690 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.55, 0.69

ความแข็ง : 1,260 lbf (5,610 N)

การแตกหัก : 16,600 lbf/in2 (114.5 Mpa)

ารยืดหยุ่น:   2,010,000 lbf/in2 (13.86 Gpa)

แรงอัดแตก:  8,170 lbf/in2 (56.3 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 7.3%, Tangential: 9.5%, Volumetric: 16.8%, T/R Ratio: 1.3

 *หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงอ่อน มีกระพี้เกือบเป็นสีขาว บางครั้งมีลวดลายลอนที่กว้างคล้ายกับลอนที่พบในไม้ Cherry แทบไม่มีความแตกต่างของสีระหว่างวงเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างมัว เลือนลาง

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้: โดยทั่วไปแล้ว เสี้ยนเนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ความมันวาวตามธรรมชาติต่ำ

ความทนทาน: ไม้ชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับว่าไม่ทนทานเน่าเสียง่าย ไม้ยังไวต่อการเข้าทำลายของแมลง

ความสามารถในการใช้:
โดยทั่วไปง่ายต่อการทำงานด้วยมือ เครื่องมือจักร กาว และงานกลึง แม้ว่าลวดลายตามธรรมชาติอาจทำให้ลายของไม้ฉีกขาดระหว่างการตัดเฉือนได้

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะ

การแพ้/ความเป็นพิษ: มีรายงานว่าไม้Brich ในสกุล Betula เป็นสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยาทั่วไปส่วนใหญ่มักรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดูบทความเพิ่มเติม Wood Allergies and Toxicity and Wood Dust Safety สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: มีแนวโน้วที่จะเป็นไม้ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่  ในไม้แผ่นมีราคาแพงกว่า แต่ปกติแล้วไม้ท่อน Brich จะอยู่ในช่วงราคาเดียวกับไม้ เมเปิลหรือโอ๊ค

ความยั่งยืน: พันธุ์ไม้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา (CITES) และไม่อยู่ในสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

 

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, กล่อง, ลัง, งานกลึง, อุปกรณ์ตกแต่งภายในและรายการไม้พิเศษอื่น ๆ


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/yellow-birch/

Sweet birch

ชื่อสามัญ:  Sweet Birch

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Betula lenta

การกระจายพันธุ์:  อเมริกาเหนือตะวันออกเฉียงเหนือ

ขนาดต้นไม้:  สูง 65-100-200 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  46 lbf/ft3 (735 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.60 ,0.74

ความแข็ง : 1,470 lbf (6,540 N)

การแตกหัก  : 16,900 lbf/in2 (116.6 Mpa)

การยืดหยุ่น:   2,170,000 lbf/in2 (14.97 Gpa)

แรงอัดแตก:  8,540 lbf/in2 (58.9 Mpa)

การหดตัว:  Radial: 6.5%, Tangential: 9.0%, Volumetric: 15.6%, T/R Ratio: 1.4

 *หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: : แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงอ่อน มีกระพี้เกือบเป็นสีขาว บางครั้งมีลวดลายลอนที่กว้างคล้ายกับลอนที่พบในไม้ Cherry แทบไม่มีความแตกต่างของสีระหว่างวงเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างมัว เลือนลาง

เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้: โดยทั่วไปแล้ว เสี้ยนเนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ความมันวาวตามธรรมชาติต่ำ

ความทนทาน: ไม้ชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับว่าไม่ทนทานเน่าเสียง่าย ไม้ยังไวต่อการเข้าทำลายของแมลง

ความสามารถในการใช้: โดยทั่วไปง่ายต่อการทำงานด้วยมือ เครื่องมือจักร กาว และงานกลึง แม้ว่าลวดลายตามธรรมชาติอาจทำให้ลายของไม้ฉีกขาดระหว่างการตัดเฉือนได้

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว

การแพ้/ความเป็นพิษ: มีรายงานว่าไม้Brich ในสกุล Betula เป็นสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยาทั่วไปส่วนใหญ่มักรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดูบทความเพิ่มเติม Wood Allergies and Toxicity and Wood Dust Safety. สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: มีแนวโน้วที่จะเป็นไม้ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่  ในไม้แผ่นมีราคาแพงกว่า แต่ปกติแล้วไม้ท่อน Brich จะอยู่ในช่วงราคาเดียวกับไม้ เมเปิลหรือโอ๊ค

ความยั่งยืน: พันธุ์ไม้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา (CITES) และไม่อยู่ในสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, กล่อง, ลัง, งานกลึง, อุปกรณ์ตกแต่งภายในและรายการไม้พิเศษอื่น ๆ


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/sweet-birch

Silver birch

ชื่อสามัญ:  Silver Birch

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Betula pendula

การกระจายพันธุ์:  ยุโรปและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้

ขนาดต้นไม้:  สูง 65-100-200 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  40 lbf/ft3 (640 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.50 ,0.64

ความแข็ง : 1,210 lbf (5,360 N)

การแตกหัก  : 16,570 lbf/in2 (114.3 Mpa)

การยืดหยุ่น:   2,024,000 lbf/in2 (13.96 Gpa)

แรงอัดแตก:  ไม่มีข้อมูล

การหดตัว:  ไม่มีข้อมูล

 *หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: : แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงอ่อน มีกระพี้เกือบเป็นสีขาว บางครั้งมีลวดลายลอนที่กว้างคล้ายกับลอนที่พบในไม้ Cherry แทบไม่มีความแตกต่างของสีระหว่างวงเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างมัว เลือนลาง


เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:
โดยทั่วไปแล้ว เสี้ยนเนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ความมันวาวตามธรรมชาติต่ำ

ความทนทาน: ไม้ชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับว่าไม่ทนทานเน่าเสียง่าย ไม้ยังไวต่อการเข้าทำลายของแมลง

ความสามารถในการใช้: โดยทั่วไปง่ายต่อการทำงานด้วยมือ เครื่องมือจักร กาว และงานกลึง แม้ว่าลวดลายตามธรรมชาติอาจทำให้ลายของไม้ฉีกขาดระหว่างการตัดเฉือนได้

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว

การแพ้/ความเป็นพิษ: มีรายงานว่าไม้Brich ในสกุล Betula เป็นสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยาทั่วไปส่วนใหญ่มักรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดูบทความเพิ่มเติม Wood Allergies and Toxicity and Wood Dust Safety. สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: มีแนวโน้วที่จะเป็นไม้ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ในไม้แผ่นมีราคาแพงกว่า แต่ปกติแล้วไม้ท่อน Brich จะอยู่ในช่วงราคาเดียวกับไม้ เมเปิลหรือโอ๊ค

ความยั่งยืน: พันธุ์ไม้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา (CITES) และไม่อยู่ในสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, กล่อง, ลัง, งานกลึง, อุปกรณ์ตกแต่งภายในและรายการไม้พิเศษอื่น ๆ


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/silver-birch/

River birch

ชื่อสามัญ:  River Birch

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Betula nigra

การกระจายพันธุ์:   ภาคตะวันออกของสหรัฐ      

ขนาดต้นไม้: สูง 65-100-200 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 2-3 ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  37 lbf/ft3 (590 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.49 ,0.59

ความแข็ง : 970 lbf (4,320 N)

การแตกหัก  : ไม่มีข้อมูล

การยืดหยุ่น:   ไม่มีข้อมูล

แรงอัดแตก:  ไม่มีข้อมูล

การหดตัว:  Radial: 4.7%, Tangential: 9.2%, Volumetric: 13.5%, T/R Ratio: 2.0

 *หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: : แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงอ่อน มีกระพี้เกือบเป็นสีขาว บางครั้งมีลวดลายลอนที่กว้างคล้ายกับลอนที่พบในไม้ Cherry แทบไม่มีความแตกต่างของสีระหว่างวงเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างมัว เลือนลาง


เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:
โดยทั่วไปแล้ว เสี้ยนเนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ความมันวาวตามธรรมชาติต่ำ

ความทนทาน: ไม้ชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับว่าไม่ทนทานเน่าเสียง่าย ไม้ยังไวต่อการเข้าทำลายของแมลง

ความสามารถในการใช้: โดยทั่วไปง่ายต่อการทำงานด้วยมือ เครื่องมือจักร กาว และงานกลึง แม้ว่าลวดลายตามธรรมชาติอาจทำให้ลายของไม้ฉีกขาดระหว่างการตัดเฉือนได้

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว

การแพ้/ความเป็นพิษ: มีรายงานว่าไม้Brich ในสกุล Betula เป็นสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยาทั่วไปส่วนใหญ่มักรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดูบทความเพิ่มเติม Wood Allergies and Toxicity and Wood Dust Safety. สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: มีแนวโน้วที่จะเป็นไม้ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ในไม้แผ่นมีราคาแพงกว่า แต่ปกติแล้วไม้ท่อน Brich จะอยู่ในช่วงราคาเดียวกับไม้ เมเปิลหรือโอ๊ค

ความยั่งยืน: พันธุ์ไม้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา (CITES) และไม่อยู่ในสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, กล่อง, ลัง, งานกลึง, อุปกรณ์ตกแต่งภายในและรายการไม้พิเศษอื่น ๆ


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/river-birch/

Paper birch

ชื่อสามัญ:  Paper Birch

ชื่อวิทยาศาสตร์:  Betula papyrifera

การกระจายพันธุ์:  อเมริกาเหนือตอนเหนือและตอนกลาง

ขนาดต้นไม้: สูง 65-100 ฟุต หรือ 20-30 เมตร

เส้นผ่านศูนย์กลาง: 2-3ฟุต หรือ 0.6-1.0 เมตร

น้ำหนักแห้งเฉลี่ย:  38 lbf/ft3 (610 kg/m3)

ความถ่วงเฉพาะ : 0.48,0.61

ความแข็ง : 910 lbf (4,050 N)

การแตกหัก :  12,300 lbf/in2 (84.8 Mpa)

การยืดหยุ่น:  1,590,000 lbf/in2 (10.97 Gpa)       

แรงอัดแตก : 5,690 lbf/in2 (39.2 Mpa)

การหดตัว: Radial: 6.3%, Tangential: 8.6%, Volumetric: 16.2%, T/R Ratio: 1.4

 *หน่วย

lbf/in2 = ปอนด์ต่อตารางนิ้ว
lbf/ft3 = ปอนด์ต่อลูกบาศก์ฟุต
kg/m3 = กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

สี/ลักษณะ: : แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงอ่อน มีกระพี้เกือบเป็นสีขาว บางครั้งมีลวดลายลอนที่กว้างคล้ายกับลอนที่พบในไม้ Cherry แทบไม่มีความแตกต่างของสีระหว่างวงเนื้อไม้ ทำให้ไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างมัว เลือนลาง


เสี้ยนเนื้อไม้/ผิวสัมผัสเนื้อไม้:
โดยทั่วไปแล้ว เสี้ยนเนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย โดยมีพื้นผิวที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ความมันวาวตามธรรมชาติต่ำ

ความทนทาน: ไม้ชนิดนี้ได้รับการจัดอันดับว่าไม่ทนทานเน่าเสียง่าย ไม้ยังไวต่อการเข้าทำลายของแมลง

ความสามารถในการใช้: โดยทั่วไปง่ายต่อการทำงานด้วยมือ เครื่องมือจักร กาว และงานกลึง แม้ว่าลวดลายตามธรรมชาติอาจทำให้ลายของไม้ฉีกขาดระหว่างการตัดเฉือนได้

กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเฉพาะตัว

การแพ้/ความเป็นพิษ: มีรายงานว่าไม้Brich ในสกุล Betula เป็นสารก่อภูมิแพ้ ปฏิกิริยาทั่วไปส่วนใหญ่มักรวมถึงการระคายเคืองผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ ดูบทความเพิ่มเติม Wood Allergies and Toxicity and Wood Dust Safety. สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ราคา/การมีอยู่: มีแนวโน้วที่จะเป็นไม้ทางเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ในไม้แผ่นมีราคาแพงกว่า แต่ปกติแล้วไม้ท่อน Brich จะอยู่ในช่วงราคาเดียวกับไม้ เมเปิลหรือโอ๊ค

ความยั่งยืน: พันธุ์ไม้นี้ไม่ได้จัดอยู่ในบัญชีแนบท้ายอนุสัญญา (CITES) และไม่อยู่ในสถานภาพความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในโลกโดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN Red List)

การใช้งานทั่วไป: ไม้อัด, กล่อง, ลัง, งานกลึง, อุปกรณ์ตกแต่งภายในและรายการไม้พิเศษอื่น ๆ


อ้างอิง

Eric Meier ( November 2021). Wood identifying and using hundreds of wood world wide Retrieved September 10, 2022, from https://www.wood-database.com/paper-birch/